ขณะที่ทั้งปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) อยู่ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจกลั่นน้ำมัน 39% ,การตลาด 23% ,ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 26% , Biofuel สัดส่วน 5% และธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม(E&P)สัดส่วน 7% โดยคาดว่าปีนี้ค่าการกลั่นเฉลี่ย (GRM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 6.96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เจรจาเข้าลงทุนและซื้อกิจการพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ โดยจะเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตั้งเป้าหมายสิ้นปี 58 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 250 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 118 เมกะวัตต์ เงินที่ใช้ในการลงทุนยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ 5 หมื่นล้านบาทสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ในช่วงจากนี้จนถึงปี 63
ส่วนการเข้ามาถือหุ้นในบริษัทของกองทุนวายุภักษ์ในสัดส่วน 15.60% และสำนักงานประกันสังคมในสัดส่วน 14.43% ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นมาจากบมจ.ปตท. (PTT) นั้น จะไม่กระทบแผนการดำเนินงานของบริษัทที่ได้วางไว้ โดยแผนงานทุกอย่างยังคงดำเนินการเช่นเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่จากทั้ง 2 กลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งจะได้สิทธิในการเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการกลุ่มละ 2 คน และจะมีการเข้าประชุมหลังจากนี้ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทต่อไป โดยขณะนี้ต้องรอการสรรหาผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ หลังจากมีกรรมการลาออกไป 3 คน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกสักระยะถึงจะมีการแต่งตั้งกรรมการใหม่ และจะมีการเข้าประชุมคณะกรรมการชุดใหม่ต่อไป