TOP มั่นใจปีนี้พลิกกำไรสุทธิหลังคาด stock gain-อะโรเมติกส์แนวโน้มดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 27, 2015 11:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยออยล์(TOP)มั่นใจปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิหลังราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวทำให้กลับมามีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ค่าการกลั่น(GRM)ยังอยู่ในระดับที่ดี และธุรกิจอะโรเมติกส์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่าง(สเปรด)ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน(PX) ที่น่าจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 และคาดว่าปริมาณการผลิตใหม่ในตลาดโลกจะเริ่มลดลงในปี 59-60 พร้อมมองหาโอกาสการร่วมลงทุนหรือซื้อกิจการต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโซลเว้นท์ในมาเลเซียและอินโดนีเซีย

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม(GIM)ในไตรมาส 2/58 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่มี GIM รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันที่ 7.4 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่าแนวโน้มของค่าการกลั่น(GRM)ในไตรมาส 2 จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย หลังราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น แต่ GRM ก็ยังนับว่าสูงต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันที่ขึ้นมายืนเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้บริษัทพลิกมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจากที่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/58

รวมถึงยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 หลังจากที่สเปรด PX มีแนวโน้มดีขึ้น โดยนับตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบันสเปรด PX เฉลี่ยอยู่ที่ 279 ดอลลาร์/ตัน เท่ากับค่าเฉลี่ยทั้งปีที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/58 ที่ระดับ 255 ดอลลาร์/ตัน หลังจากลงไปทำระดับต่ำสุดเมื่อเดือนเม.ย.57 ที่ระดับ 180 ดอลลาร์/ตันจากเหตุระเบิดโรงงาน PX ในจีนเมื่อเร็วๆนี้ แต่ยังต้องจับตาว่าโรงงานดังกล่าวจะกลับมาผลิตได้ตามเป้าหมายในต้นไตรมาส 4/58 หรือไม่ รวมถึงกำลังผลิตใหม่ของโรงงาน PX ของบริษัทในอินเดียขนาด 2 ล้านตัน/ปีที่จะเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นปริมาณการผลิตส่วนใหญ่จะใช้ในโรงงาน PTA ของกลุ่มบริษัทดังกล่าว

"ไตรมาสแรกมีธุรกิจอะโรเมติกส์ที่โชว์ performance ไม่ดี แต่เชื่อว่าในไตรมาส 2 จะ recover แน่ของอะโรเมติกส์ และน่าจะต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี...ปีที่แล้วเรามี stock loss ในไตรมาส 4 ทำให้ทั้งปีขาดทุน ปีนี้จะมีกำไร ถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน ถ้าน้ำมันที่อยู่ระดับ 100 โอกาสที่จะถึง 50 เหรียญมีเยอะ แต่น้ำมันที่ 50 ลงไปที่ 25 เหรียญมีโอกาสน้อย เราผ่านจุด 50 เหรียญ loss ไปแล้ว แต่พอ 50 ลงไปครึ่งหนึ่งที่ 25 ยาก"นายอธิคม กล่าว

ปีที่แล้ว TOP มีผลขาดทุนสุทธิ 4.03 พันล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสูงถึง 1.44 หมื่นล้านบาท หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 57 ไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยราคาปิด ณ สิ้นไตรมาส 4/57 อยู่ที่ 60.2 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1/58 บริษัททำกำไรสุทธิได้ระดับ 4.5 พันล้านบาทจาก GIM ที่สูงขึ้น แต่ยังคงได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันเล็กน้อย

นายอธิคม กล่าวว่า สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบ ล่าสุดยืนเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งบริษัทยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ที่ 60-73 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้จะทำให้ GRM แคบลงแต่ก็เชื่อว่ายังอยู่ในระดับสูง จากความต้องการใช้ในปัจจุบันที่ยังเติบโตจากราคาน้ำมันที่ลดลง และราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นยังจะทำให้บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมันในปีนี้ด้วย ขณะที่ในส่วนของธุรกิจกลั่นน้ำมันของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมีการใช้กำลังการกลั่นราว 98-100% แม้หยุดซ่อมบำรุงหน่วย FCC (Fluid Catalytic Cracking) เป็นเวลา 1 เดือนในกลางเดือนพ.ค.ขณะที่ในปีที่แล้วใช้กำลังการกลั่นราว 98% หลังได้หยุดซ่อมบำรุงใหญ่หน่วยกลั่นน้ำมันดิบหน่วยที่ 3

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีชึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 หลังจากที่สเปรด PX และ เบนซีนปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรด PX ปรับลดลงอย่างรุนแรงตั้งแต่ปีที่แล้วจากปริมาณการผลิตที่ล้นตลาด แต่คาดว่าปริมาณการผลิตใหม่ของ PX ในตลาดโลกจะเริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงปี 59-60 ขณะที่สเปรดเบนซีนกลับขึ้นมาอยู่ระดับ 193 ดอลลาร์/ตันในช่วงเดือนเม.ย. หลังจากที่ปรับลดลงไปต่ำสุดตั้งแต่ปี 51 มาแตะระดับ 56 ดอลลาร์/ตันในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณการผลิตในตลาดลดลง แต่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น

"ไทยออยล์จะดูแยกพาราไซลีนกับโรงกลั่นไม่ได้ จริงๆ บางทีดูเหมือนราคาอะโรเมติกส์ไม่ดี สเปรดเบนซีนเหลือ 56 เหรียญ แต่ทำไมเรายังต้อง run อยู่ เพราะถ้าไม่ run โรงงานอะโรเมติกส์ โรงกลั่นจะไม่ได้มาร์จิ้นแบบนี้ เพราะว่าถ้าไม่มีการแยกเบนซีนออกไป ส่วนผสมของแก๊สโซลีนจะมีเบนซีนเยอะเกินสเปก ซึ่งขายไม่ได้ก็ต้องส่งออก การทำแบบนี้ทำให้เราได้ประโยชน์ในการทำ integration"นายอธิคม กล่าว

นายอธิคม คาดว่าการใช้กำลังการผลิตของอะโรเมติกส์ในไตรมาส 2/58 จะขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 80% จาก 66% ในไตรมาสแรก หลังจากที่สเปรดผลิตภัณฑ์ของ PX และเบนซีนปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยังเชื่อว่า PX ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นทางในการผลิตสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ ซึ่งเป็นปัจจัยสี่ทำให้ตลาดยังมีความต้องการอยู่ แม้ปัจจุบันจะถูกกดดันปริมาณการผลิตที่ล้นตลาดอยู่ก็ตาม ทำให้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าธุรกิจกลั่นน้ำมันจะยังเป็นธุรกิจที่โดดเด่นของบริษัทอยู่

นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นของบริษัทยังเติบโตได้ดี โดยธุรกิจไฟฟ้าดีขึ้นจากราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง และธุรกิจโซลเว้นท์ก็ดีขึ้นหลังจากราคาน้ำมันเริ่มนิ่ง ทำให้ผู้ประกอบการหันมาเก็บสต็อกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจเอทานอลอยู่ในเกณฑ์ดีจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงเช่นกัน และธุรกิจกองเรือมีค่าระวางเรือสูงขึ้น ตามความต้องการใช้เรือเพิ่มเพื่อซื้อน้ำมันเก็บสต็อกไว้ในช่วงที่ราคาลดลง

*มองหาโอกาสซื้อกิจการ

นายอธิคม กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายงานด้วยการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในต่างประเทศ มองว่ามีโอกาสที่จะขยายงานในส่วนของกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายสารละลาย(โซลเว้นท์) จากปัจจุบันที่มีอยู่ในไทยและเวียดนาม โดยมองโอกาสการขยายไปยังมาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องจากตลาดค่อนข้างดีและมีการเติบโตสูง ซึ่งการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจะใช้วงเงินไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการร่วมทุนกับเปอร์ตามิน่าในการผลิตผลิต WAX ในอินโดนีเซียด้วย

ส่วนแผนการลงทุนในช่วงปี 58-61 จะใช้เงินลงทุนราว 543 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการแล้ว โดยมีโครงการลงทุนสำคัญ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก(SPP) 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 239 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 498 ตัน/ชั่วโมง ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/59 ขณะที่เงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนในโครงการผลิตสาร LAB (Linear Alkyl Benzene) ขนาด 1 แสนตัน/ปี ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าแล้ว 92% และโครงการจะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 58

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพระบบลองเรสซิดิว(long residue)เพื่อเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตามาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันใสที่มีมูลค่าเพิ่ม จากปัจจุบันที่การกลั่นน้ำมันจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาออกมาราว 7-8% ของกำลังการผลิต โดยคาดว่าจะเลือกเทคโนโลยีได้ในช่วง มิ.ย.นี้ ซึ่งการจะเปลี่ยนน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันใสมากขึ้นนั้น ทำให้ต้องศึกษาตลาดของน้ำมันใสในภูมิภาคนี้ประกอบกับกันด้วย โดยหากเห็นว่ายังมีความต้องการมากพอก็ทำให้เห็นโอกาสการเปลี่ยนหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ(CDU) หน่วยที่ 1 และ 2 ที่มีอายุราว 50 ปีไปพร้อมกันทีเดียว ซึ่งหากจะเป็นการสร้าง CDU ใหม่ทดแทนก็อาจจะมีขนาดราว 2 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้กำลังการกลั่นน้ำมันโดยรวมเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันที่ระดับ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน

"แผนการขยายกำลังการกลั่นเป็น optional มากกว่าคือเราอยากจะ upgrade product หลายๆตัวอย่างน้ำมันเตาที่มีอยู่ 7-8% เราก็จะเอาน้ำมันเตาไปทำเป็นน้ำมันดีเซล น้ำมัน jet ก็ได้ซึ่งต้องมีการลงทุนเพิ่ม การอัพเกรดก็ต้องใช้เวลา 5-6 ปี ถ้าสมมติมี demand จริงในตลาด ถ้าศึกษาแล้ว ก็มี option ว่าเราจะไปดูว่าสามารถขยายอะไรได้หรือไม่ วันนี้ยังไม่ได้เป็น final idea ใดๆทั้งสิ้น CDU เรามี 3 แห่ง CDU 1 และ 2 อายุก็ 50 ปีแล้ว ก็เลยเป็น option ว่าพร้อมกันเลยดีไหม...ปลายปีคงจะทราบทั้งหมดทั้งเงินลงทุนและจะรู้ว่าจะมีการเปลี่ยน CDU ด้วยหรือไม่"นายอธิคม กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายอธิคม ระบุว่าบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและการส่งออกไปยังประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการสร้างหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ(CDU)ขนาดราว 2 แสนบาร์เรล/วัน ทดแทน CDU 1 และ 2 ที่มีกำลังกลั่นน้ำมันหน่วยละประมาณ 5 หมื่นบาร์เรล/วัน ขณะที่ CDU 3 มีกำลังการกลั่นน้ำมันราว 1.75 แสนบาร์เรล/วัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ