นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร MLTS คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะมากขึ้นกว่าระดับ 544.12 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากได้รับผลดีจากการที่ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตาม ซึ่งบริษัทมีเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์วงเงินกว่า 2 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 6% โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ยได้กว่า 70 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/58 บริษัทจะทยอยออกตั๋วเงินกู้ยืมงินระยะสั้น (B/E) วงเงิน 5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ซึ่งการออกตั๋ว B/E จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนทางการเงินได้อีก 30-40 ล้านบาท/ปี
"ปัจจัยดังกล่าวทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่ลดลงและการออกตั๋วกู้ยืมเงินระยะสั้น เป็นการช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีความมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะมากกว่าปีก่อน"นายชูชาติ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้ายอดปล่อยสินเชื่อในปีนี้เติบโต 30% มาอยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท จาก 1.25 หมื่นล้านบาทในปีก่อน โดยแนวโน้มไตรมาส 2/58 คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าไตรมาสแรกที่ยอดการปล่อยสินเชื่อเติบโตราว 35% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่งผลต่อความต้องการสินเชื่อสูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และสินเชื่อรถยนต์
ขณะที่ความคืบหน้าในการทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์นั้น คาดว่าสิ้นไตรมาส 2/58 จะมีความชัดเจนในการได้รับใบอนุญาตการประกอบกิจการ เบื้องต้นทราบว่าขั้นตอนอยู่ระหว่างการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ส่งเรื่องไปที่กระทรวงการคลัง ซี่งหากขั้นตอนต่างๆแล้วเสร็จและได้รับใบอนุญาตแล้ว บริษัทก็มีความพร้อมที่จะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ราว 10 ล้านบาท/เดือน หรือกว่า 100 ล้านบาท/ปี
"ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้ข้อสรุปเรื่องนาโนไฟแนนซ์ในช่วงสิ้นไตรมาส 2 นี้ เรายังไม่ได้ปรับเป้าหมายยอดปล่อยสินเชื่อปีนี้เพิ่มขึ้น แต่นาโนไฟแนนซ์ที่เข้ามาจะช่วยให้ยอดการปล่อยสินเชื่อมีการขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเราเริ่มเปิดดำเนินงาน ตอนนี้ก็รอว่าขั้นตอนต่างๆจะเสร็จเมื่อไหร่และก็รอได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ"นายชูชาติ กล่าว
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับยอด NPL ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.3% นับว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งบริษัทมีนโยบายการควบคุมยอด NPL ไว้ไม่เกิน 1.5% สาเหตุที่ NPL ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเป็นผลจากการที่มีทีมบริหารติดตามหนี้ที่มีการทำงานประสานกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว และมีระบบ,ขั้นตอนการติดตามลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านแผนการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ บริษัทได้เพิ่มเป้าหมายขยายสาขาใหม่เป็น 330 สาขา จากเดิมที่จะขยายสาขาใหม่ 300 สาขา เนื่องจากมีลูกค้าที่ต้องการใช้บริการเป็นจำนวนมาก และเป็นโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงครึ่งปีแรกทยอยเปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 180 สาขา และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดเพิ่มอีก 150 สาขา ซึ่งจะทำให้ทั้งปีนี้มีสาขาเพิ่มเป็น 830 สาขา จาก 500 สาขาเมื่อสิ้นปี 57
เงินลงทุนต่อสาขา แบ่งเป็นสาขาที่เป็นศูนย์บริการจะใช้เงินลงทุนราว 2 แสนบาท สาขาย่อยจะใช้เงินลงทุนราว 4 แสนบาท และสาขาใหญ่ที่ให้บริการครบวงจรจะใช้เงินลงุทนราว 1 ล้านบาท