“ปีนี้เราจะกลับมามีกำไรอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเราเลือกรับงานที่มีมาร์จิ้นดีและเป็นงานที่เราถนัด ซึ่งเป็นภาคเอกชน แต่อัตรากำไรสุทิเราตั้งไว้ที่ 5% ซึ่งเป็นเป้าที่ท้าทาย แต่ยังต่ำกว่าระดับปกติที่ 8-10% เพราะภาครัฐยังไม่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนออกมา ทำให้งานภาคเอกชนก็ยังไม่ออกมามาก เศรษฐกิจบ้านเราก็ยังทรงๆ อัตรากำไรสุทธิในระดับที่ 5% ตั้งไว้ว่าเราจะทำให้ได้ในปีนี้"นายสุรศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้มีโอกาสทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7 พันล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ(Backlog)กว่า 8 พันล้านบาทแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ อีกทั้งบริษัทยังเดินหน้าเข้าประมูลงานของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยงานที่บริษัทได้ยื่นประมูลและอยู่ระหว่างการรอผลการประมูลมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท คาดหวังจะได้รับงานราว 50% จากมูลค่างานดังกล่าว
“รายได้ในปีนี้อาจจะยังต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 9.43 พันล้านบาท เพราะว่าเรามีการเลือกรับงานมากขึ้น ทำให้รายได้ในปีนี้อาจจะต่ำกว่าก่อนอยู่ แต่จะมีกำไรที่เห็นออกมาอย่างมีนัยสำคัญ"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อเป็นการรองรับการรับงานของภาครัฐ หากภาครัฐมีความชัดเจนในการเปิดประมูลโครงการลงทุนโครงการต่างๆ ออกมา และคาดว่าจะยังไม่มีความชัดเจนในเร็วๆนี้
ส่วนแผนการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวนไม่เกิน 175 ล้านหุ้นนั้น บริษัทก็ได้ชะลอแผนดังกล่าวออกไป เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังไม่มีความจำเป็นในการใช้เงินทุนมารองรับงานรับเหมาขนาดใหญ่ เพราะงานที่บริษัทรับในปัจจุบันเป็นงานที่มูลค่าไม่มากนัก แต่หากงานภาครัฐออกมาอย่างชัดเจน และบริษัทได้รับงานมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ก็จะนำแผนการเพิ่มทุน PP ออกพิจารณาอีกครั้งเพื่อนำมาเป็นเงินหมุนเวียน
นายสุรศักดิ์ ยังกล่าวถึงการจัดตั้งบริษัทในประเทศพม่า เพื่อรับงานรับเหมาก่อสร้างโรงงานให้กับลูกค้าจากไทยที่เข้าไปลงทุนว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดตั้งบริษัท และคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเร็วๆนี้ ซึ่งการเข้าไปรับงานในประเทศพม่าเป็นการกลับเข้าไปรุกตลาดต่างประเทศในรอบ 20 ปี รวมทั้งบริษัทยังมองถึงโอกาสในการรับงานของภาคเอกชนในพม่าในอนาคตด้วย จึงต้องมีการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น