ทั้งนี้ บริษัทปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยลดจำนวนลงจาก 3 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท เหลือ 2 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท คือโครงการคอนโดมิเนียมที่อโศก มูลค่า 4 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 3/58 ปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นขอ EIA และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบและยื่นขอ EIA โดยจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 4/58 คาดแล้วเสร็จปี 60
ส่วนโครงการแนวราบย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาทนั้น บริษัทได้ปรับแผนโดยมอบหมายให้ เนอวานาฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการแทน เพราะมีความชำนาญในโครงการแนวราบ และคาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในปี 59
อนึ่ง บริษัทมีนโยบายให้มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายประมาณ 50% และรายได้จากค่าเช่าประมาณ 50% ซึ่งจะเห็นได้จากผลประกอบการในปีนี้เป็นต้นไป
สำหรับแนวโน้มรายได้ในช่วงไตรมาส 2/58 คาดว่าจะใกล้เคียงกับใตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 322.68 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีรายได้จาก เนอวานาฯ เข้ามาชดเชยในส่วนที่หายไป
"ปีนี้เรามั่นใจว่า รายได้ของเราจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทฯจะมีการบันทึกรายได้จากเนอวานาฯ และในช่วงไตรมาส 1/58 ที่ผ่านมาเองอัตรการเข้าพักของโรงแรมก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสถานการณ์การท่องเที่ยวในไทยเอง ต่างชาติก็ได้กลับมามากขึ้น หลังจากที่สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลาย สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายนั้น บริษัทฯจะบุกในกลุ่มระดับบนที่มีราคาใกล้เคียง 2 แสนบาท/ตารางเมตร ซึ่งตลาดระดับนี้ยังถือว่ามีศักยภาพ และสินค้าในตลาดเริ่มมีไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว"นายเมธี กล่าว
นายเมธี กล่าวต่อว่า บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ 1 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยส่วนหนึ่งจะใช้ในการซื้อสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมราว 5-6 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 2-3 แห่ง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้อย่างน้อย 1 แห่ง มูลค่าราว 2-3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพื่อเข้าซื้ออาคารสำนักงาน และศูนย์การค้า รวมถึงการเข้าร่วมทุนในรูปแบบเดียวกับเนอวานาฯ
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ คือ พัฒนาโรงงานให้เช่าและนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการต่อยอดจากธุรกิจของบริษัทแม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทแม่มีที่ดินที่มีศักยภาพที่จะสามารถทำได้