(เพิ่มเติม) PTG คาดสรุปลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล-ขยะใน Q3/58 ขนาดราว 40-50 MW

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 2, 2015 15:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาในการเข้าซื้อหรือการเข้าถือหุ้นสัดส่วน 40-60% ในโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 40-50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/58 นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเจรจาเพื่อเข้าซื้อโรงงานผลิตเอทานอล คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี 58

ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและโรงงานเอทานอล บริษัคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1-2 พันล้านบาท ซึ่งหากงบลงทุนรวมที่บริษัทตั้งไว้ 2.4 พันล้านบาทในปีนี้ไม่เพียงพอ บริษัทอาจจะพิจารณาออกหุ้นกู้ หลังจากทริสเรทติ้งได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB โดยวงเงินหุ้นกู้ที่จะออกบริษัทยังไม่มีการขออนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่บริษัทจะเสนอเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน

บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปี 61 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปัจจุบัน หลังจากมีกำไรจากธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจพลังงานทดแทนเข้ามาในสัดส่วนราว 11% จากปัจจุบันที่กำไรส่วนใหญ่ทั้ง 99% มาจากธุรกิจน้ำมัน ประกอบกับ บริษัทมีเป้าหมายเปิดสถานีบริการน้ำมันเพื่อให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 100% เมื่อเทียบกับปีนี้ หรือมีขจำนวนสถานีบริการน้ำมัน พีที ทั้งหมด 2,400 สาขาภายในปี 61

นายพิทักษ์ กล่าวถึงผลประกอบการในปีนี้ว่า รายได้ของบริษัทมีโอกาสเติบโตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5.52 หมื่นล้านบาท หลังจากบริษัทมีการเดินหน้าขยายสถานีบริการน้ำมันพีที อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันพีทีทั้งหมด 1,200 สาขา ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ บริษัทจะก้าวขึ้นเป็นผู้ที่มีสถานีบริการน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ หรือมีสถานีบริการน้ำมันไม่ต่ำกว่า 1,050 แห่ง

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโต 30-40% จากปีก่อน เนื่องจากจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และปริมาณการใช้น้ำมันที่น่าจะเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากปริมาณยอดขายน้ำมันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งมีสถิติยอดขายสูงสุดถึง 572 ล้านลิตร เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อน ซึ่งเมื่อรวมถึงการขยายสถานีบริการน้ำมัน พีที คาดว่าจะทำให้มีผู้ใช้น้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันพีทีเพิ่มมากขึ้น

ประกอบกับบริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการสร้างคลังน้ำมันแห่งที่ 10 เพื่อที่จะกระจายน้ำมันได้ครอบคลุมในทุกภาคส่วน จากปัจจุบันที่มีคลังน้ำมันอยู่แล้ว 9 แห่ง รวมถึงการการเข้าปรับปรุงพื้นที่สำหรับจัดตั้งโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ ของบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 58

“ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าการขยายสถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งหมด 250 สถานี โดยแบ่งเป็นสถานีบริการที่ดำเนินการโดยบริษัทฯ หรือสถานีบริการแบบ COCO จำนวน 220 สถานี และสถานีบริการน้ำมันที่บริหารโดยตัวแทน หรือสถานีบริการแบบ DODO จำนวน 30 สถานี ในส่วนของสถานีบริการก๊าซ LPG บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปีนี้จำนวน 30 สถานี โดยมุ่งเน้นขยายสถานีในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล" นายพิทักษ์กล่าว

สำหรับการบริหารจัดการของบริษัทฯ ในปีนี้ ถือว่าสามารถทำได้อย่างดี เนื่องจากมีการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้บริษัทฯ มีกำไรก้าวกระโดดในไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าสถาณการณ์น้ำมันดิบในตลาดโลกจะยังคงความผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทฯ เชื่อว่าในส่วนที่เหลือของปีนี้ยังคงสามารถบริหารและจัดการต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี

ส่วนผลการดำเนินการประจำไตรมาส 1/58 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.58 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 14,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 823 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้น และ EBITDA อยู่ที่ 406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 61.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายพิทักษ์ ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทคาดหวังว่าภายในปี 60 หุ้น PTG จะได้รับการเข้าคำนวณในดัชนี SET50 หลังจากที่ใช้เวลา 1 ปีครึ่งในการติด SET100 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายใน 2 ปี ซึ่งการที่บริษัทจะเข้า SET50 ได้ ต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Maeket Cap) สูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาทแล้ว และระดับราคาหุ้นของบริษัทจะต้องอยู่ที่ 22-25 บาทต่อหุ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 12 บาทต่อหุ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ