"นอกจากกำไรที่จะได้จากงานรับเหมา และขายเสาโครงเหล็กแล้ว DEMCO จะรับรู้รายได้ จากการถือหุ้น 15 % ในโครงการพลังงานลมห้วยบง 2,3 รวมทั้งโครงการโซล่าร์ และ และโซล่าร์รูฟ จำนวน 3 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินปันผล ในปี 2558 จำนวนรวม 195 ล้านบาท"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบันธุรกิจ DEMCO มี 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานรับเหมาด้านวิศวกรรมไฟฟ้า,ระบบไฟฟ้า-เครื่องกล และงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน กลุ่มธุรกิจโรงงาน ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็กที่ใช้ในงานสายส่งและเสาโทรคมนาคม โดยมีโรงงานเสาที่จ.ลพบุรี กำลังการผลิต 1.6 หมื่นตัน/ปี และกลุ่มธุรกิจการลงทุน ที่เน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโตจากปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนด้านสายส่งและสถานีไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ประกาศงบลงทุน 5 ปี มากกว่า 120,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้รับการจ้างงานจาก กฟผ. รวม 5 โครงการมูลค่ามากกว่า 2.1 พันล้านบาท
บริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog )ประมาณ 6,100 ล้านบาท และเตรียมเข้าประมูลงานใหม่ในช่วงที่เหลือของปีอีก 11,700 ล้านบาท โดยในส่วนของงานวิศวกรรมไฟฟ้าของภาครัฐบาลและเอกชน บริษัทคาดว่าจะได้รับงานเพิ่มประมาณ 2,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับ Backlog ที่มีอยู่จะเป็นงานที่จะต้องดำเนินการทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงานโซล่าร์ฟาร์ม 800 เมกะวัตต์ ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับงานอีก 2,000-2,500 ล้านบาทที่บริษัทถือว่าเป็น Up side ในอนาคต
ขณะที่สัดส่วนกำไรสุทธิที่ได้จากธุรกิจการลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงานนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ในปี 61 จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 33% ของกำไรสุทธิทั้งหมด ซึ่งจะมาจากเงินปันผลจากธุรกิจการลงทุน
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศบริษัท เด็มโก้ เดอร์ ลาว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ DEMCO ได้ลงนามสัญญาสัมปทานการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้แก่รัฐวิสาหกิจน้ำประปาแขวงหลวงพระบาง เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มีกำหนดระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี บริษัทจะเริ่มงานก่อสร้างระบบผลิตและจำหน่ายในเดือนก.ค.58 เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาในไตรมาส 1/59 โดยมูลค่าการลงทุนทั้งโครงการในระยะเวลา 30 ปี เป็นเงินประมาณ 900 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ ยืนยันว่า DEMCO ไม่มีแผนจะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด(WEH) จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 4% เพราะยังพอใจกับการถือหุ้นในระดับดังกล่าว อีกทั้งบริษัทยังต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการหลายโครงการ ส่วนการขายหุ้นทั้งหมดใน WEH ของนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 45% คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2 เดือนข้างหน้า หลังจากเปิดให้ผู้สนใจยื่นเสนอราคาซื้อเข้ามา