ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็ได้มีการจัดสรรงบเพิ่มเติม 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณของกรมทางหลวง 25,000 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 15,000 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเบิกง่ายและเรียกผู้ประกอบการไปเซ็นสัญญาได้ในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการยางจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในไตรมาส 3/58
ขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันส่วนทางกับราคาขายยางมะตอยที่ยังอยู่ในระดับสูงเพราะดีมานด์มากกว่าซัพพลายทำให้มาร์จิ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสิ้นไตรมาส 1/58 มีอัตรากำไรสุทธิ 13.43% จากสิ้นปี 57 ที่ 2.60%
สำหรับปีนี้บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 1,500 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงซื้อเรือและรถขนส่งยางมะตอย โดยบริษัทฯมีการเพิ่มจำนวนเรือ เป็น 16 ลำ/ปี จากปกติ 12 ลำ/ปี เพื่อรองรับผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และช่วยเสริมยอดขายในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ทางบริษัทฯ เตรียมวางแผนการเติบโตระยะยาวถึงปี 63 จากปัจจุบันสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่เคยวางไว้แล้ว ซึ่งจากนี้ก็น่าจะเห็นภาพการเติบโตของ TASCO ว่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางใดต่อไป
"ผลประกอบการปีนี้เรา มั่นใจว่ารายได้และกำไรสุทธิจะทำนิวไฮต์ต่อเนื่อง เนื่องจากดีมานด์ยางมะตอยเพิ่มขึ้นจากการพัฒนา-ปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่ทำสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นมาถึง 36% ในไตรมาส 1/58 จากปกติที่อยู่ราว 16% ของยอดขายรวมทั้งหมด ขณะที่มองยอดขายปริมาณการขายปีนี้น่าจะโตอย่างน้อย 15-20%เมื่อเทียบกับปีก่อน" นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/58 อย่างน้อย 10-15% ขณะเดียวกันไตรมาส 3/58 ถือว่าเป็นไตรมาสที่มีการเติบโตสูงสุด มองว่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/58 ได้ราว 20% ซึ่งเป็นไปตามความต้องการทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง