นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยประจำเดือน มิ.ย.58 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกรีซที่ยังไม่มีความชัดเจนต่อปัญหาการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) จำนวน 1,600 ล้านยูโรในเดือนมิ.ย. จึงให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,460-1,520 จุด
รวมถึงแรงกดดันจากกลุ่มธนาคารจากความกังวลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ในส่วนของเอสเอ็มอี และรายย่อย รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงขาเดียว ซึ่งกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM)
อย่างไรก็ตาม มองว่าการย่อตัวของดัชนีเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย จะมีการฟื้นตัวในช่วงปลายเดือนจากการทำ Window Dressing ปิดงบไตรมาส 2/58 อีกทั้งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
"ตลาดมีการตอบปัจจัยบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบ้าง เช่น ร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2558-2562 งบลงทุน 1.4 ล้านล้านบาท และมีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ อาทิ ท่าเทียบเรือชายฝั่งท่าเรือแหลมฉบัง รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยแต่ก็ไมชัดเจนมากนัก"นางสาววิลาสินี กล่าว
นางสาววิลาสินี กล่าวว่า ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2/58 มีแนวโน้มฟื้นตัวล่าช้า และเปราะบางเช่นเดียวกับไตรมาส 1/58 การส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปียังติดลบเกือบ 4% การบริโภคภายในประเทศอยู่ในกรอบจำกัดจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีแนวโน้มปรับลดประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ลงอีกในวันที่ 19 มิ.ย.จากเดิมที่ให้ไว้ระดับ 3.8%
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐปรับดีขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์ ทำให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยราวเดือนก.ย. เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนยังคงขยายตัวแม้จะลดความร้อนแรงลงบ้าง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเห็นธนาคารกลางจีนเดินผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้คาดว่าในเดือนมิ.ย.จะยังไม่เห็นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในไทยรวมถึง Emerging market จากภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลง สวนทางกับกลุ่มประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว รวมถึงตลาดหุ้นจีนที่น่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ดังนั้น Fundflow มีแนวโน้มจะไหลไปยังประเทศดังกล่าวมากกว่ากลุ่มประเทศ TIPS ซึ่งประกอบด้วยไทย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่า ว่า ดัชนียังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเพื่อทดสอบแนวรับ 1,460 จุด แต่เป็นจังหวะในการเข้าซื้อสะสมระยะกลาง-ยาว เพื่อหวังการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล
ดังนั้น จึงคัดสรรหุ้นที่น่าสนใจ และได้ประโยชน์จากการกระเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ กลุ่มรับเหมา จาก Big Project ภาครัฐ เช่น ไทย-ญี่ปุ่นเซ็น MOC โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทาง หุ้นเด่น คือ ITD CK STEC SEAFCO PYLON เช่นเดียวกันกับกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ ได้ประโยชน์จากต้นทุนการเงินที่ลดลงจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ และหากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 10 มิ.ย.นี้ มีการปรับลดดอกเบี้ย R/P ลงอีกจะยิ่งเป็นบวก โดยหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ คือ SAWAD MTLS GL THANI