อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ เนื่องจากการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้รายได้จากต่างประเทศที่เข้ามาเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงสกุลเป็นเงินบาทจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35-40% และอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 16% ซึ่งใกล้เคียงกับปี 56 อยู่ที่ 16.4%
“รายได้และกำไรไตรมาส 2 นี้ถ้าเทียบกับปีที่แล้วก็โตกว่าแน่นอน เพราะปีนี้การเมืองนิ่งขึ้น ออร์เดอร์ก็กลับมาปกติ แต่ถ้าเทียบจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถือว่าใกล้เคียงกัน เพราะช่วงครึ่งปีแรกเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจทำให้รายได้และกำไรไม่หนีกัน"นางสาวเพชรรัตน์ กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ต่างประเทศปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นอีก 3-5% มาอยู่ที่ 23-25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% โดยเฉพาะจากการลงทุนตั้งโรงงานในอินโดนีเซียเพิ่มเข้ามา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรออนุมัติคำสั่งซื้อจากลูกค้า คาดว่าจะสร้างรายได้เข้ามาในปีนี้ ปัจจบัน บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการลงทุนตั้งโรงงานในประเทศเวียดนาม รายได้ทยอยรับรู้มาตั้งแต่ปี 57 และ สำนักงานในมาเลเซียเพื่อเป็นฐานในการขยายกลุ่มลูกค้าของบริษัทมากขึ้น