"ช่วงครึ่งปีแรกนี้บริษัทยังไม่มีเปิดโครงการใหม่ แต่ไตรมาส 3/58 โครงการที่จะเปิดแน่นอน คือ โครงการบ้านเดี่ยวบ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ปากเกร็ด-ราชพฤกษ์ จำนวน 128 ยูนิต มูลค่า 681 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีมูลค่าโครงการเหลือขายอีกราว 3.5 พันล้านบาท"นายสมนึก กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มการฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับ การที่ภาครัฐจะเร่งรัดเบิกจ่ายเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนให้ออกมาเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับต่ำส่งผลดีต่อภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง จึงคาดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 จะเติบโต 5%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังกังวล คือ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงกดดันกำลังซื้อ และการขออนุมัติเงินกู้จากสถาบันการเงินส่วนหนึ่ง ซึ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าบริษัทอยู่ที่ระดับ 10-20%
นายสมนึก กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 2.2 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะทรงตัวที่ 34% ใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากการทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการ Natureza Condominium พัทยา ประมาณ 400 ยูนิต ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/58 ซึ่งคอนโดดังกล่าวให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดี
ส่วนการซื้อที่ดินของบริษัทนั้นไม่ได้ตั้งงบลงทุนไว้ชัดเจน แต่บริษัทสนใจทำเลในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ส่วนต่างจังหวัด อย่างเช่น พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก โดยเฉพาะเชียงใหม่ หากมีการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นจังหวัดที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตเป็นอย่างมาก