สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตกว่าไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ ตามทิศทางของตลาดต่างประเทศที่ดีขึ้น ส่งผลให้มั่นใจว่าทั้งปีนี้จะมีรายได้แตะระดับ 5.5-6 หมื่นล้านบาท และกำไรจะฟื้นกลับไปเติบโตสูงกว่าปี 56 ที่ทำได้ 1.6 พันล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าปริมาณขาย LPG จะเพิ่มเป็น 2.57 ล้านตันจาก 2.44 ล้านตันในปีก่อน
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ SGP เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะเซ็นสัญญาขายก๊าซ LPG ให้กับพันธมิตรในพม่าเป็นครั้งแรก โดยตั้งเป้ายอดขายยอดขาย 3-4 พันตัน/เดือนเพื่อทดลองตลาด เนื่องจากบริษัทมองเห็นถึงโอกาสที่ประชาชนในพม่ามีความต้องการใช้ก๊าซสูง ซึ่งหากการทำตลาดในพม่าประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะเข้าไปลงทุนก่อสร้างคลังก๊าซร่วมกับพันธมิตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างคลังก๊าซขนาด 1,000-2,000 ตัน วงเงินลงทุนเบื้องต้นราว 100 ล้านบาท คาดว่าจะชัดเจนช่วงปลายปีนี้
“ใน AEC เราก็คงกระโดดเข้าไปให้ครอบคลุมทั้งหมด คลังก๊าซในพม่าเราก็ขอทดลองตลาดไปก่อน 3-4 เดือน ถ้าจะมีความชัดเจนจริงๆก็น่าปลายปีนี้ ส่วนในกัมพูชาก็ขอศึกษาก่อน เพราะมีความเสี่ยงเรื่องการเมืองที่ไม่แน่นอน แต่หากเราจะเข้าไปลงทุนจริงๆไม่ว่าจะกัมพูชาหรือประเทศอื่นๆ เราก็อยากเข้าไปลงทุนซื้อในโครงการที่ให้รายได้กับบริษัทได้เลย"นางจินตณา กล่าว
ส่วนการลงทุนขยายปั๊มก๊าซ LPG ของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มจำนวนอีก 4-5 แห่ง เป็น 45 แห่ง ภายในสิ้นปี 58 จากปัจจุบันที่มี 40 แห่ง โดยใช้งบลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 10-15 ล้านบาทต่อสาขา ไม่รวมที่ดิน
นางจินตณา กล่าวว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะฟื้นตัวจากปีก่อนที่มีผลขาดทุนขึ้นไปสูงกว่าปี 56 ที่มีกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท เป็นผลมาจากกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาต้นทุนก๊าซ LPG และราคาที่บริษัททำสัญญาขายก๊าซให้กับลูกค้า หลังราคาก๊าซเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ซึ่งบริษัทคาดว่าราคาก๊าซเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีก่อนที่ 1,025 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ด้านปริมาณการขาย บริษัทตั้งเป้าพิ่มขึ้นมาเป็น 2.57 ล้านตัน จากปีก่อนที่ 2.44 ล้านตัน ซึ่งมาจากปริมาณการขายก๊าซในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ 1.32 ล้านตัน/ปี ส่วนในประเทศอยู่ที่ 1.25 ล้านบาท ช่วยสนับสนุนการเติบโตรายได้ของบริษัทในปีนี้ที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5.5-6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้และกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 1.24 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.6 แสนบาท เนื่องจากปริมาณการขายก๊าซในต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในจีนที่บริษัทมีลูกค้ารายใหญ่เพิ่มเข้ามา เช่น บริษัท ชิโน ปิโตร และลูกค้าอื่นๆที่เป็นเจ้าตลาดใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/58 ปริมาณการขายก๊าซของบริษัทในจีนอยู่ที่ 1.5 แสนตัน และคาดว่าในไตรมาส 2/58 จะเพิ่มมากขึ้น จากความต้องการใช้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาขายก๊าซ LPG เฉลี่ยในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากช่วงต้นปีอยู่ที่ 425 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลดีต่อการทำกำไรของบริษัท ประกอบกับ การที่ราคาก๊าซมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น เพราะบริษัทได้รวมกำไรในสัญญาขายก๊าซกับลูกค้าไปแล้ว และต้นทุนในการซื้อก๊าซของบริษัทลดลงอีกด้วย จึงช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทให้มีการเติบโตขึ้น
“ราคาก๊าซที่มันแกว่งในกรอบแคบๆ มันก็ดีต่อเรา เพราะสัญญาที่ทำกับลูกค้าเราบวกำไรไปแล้ว และตอนนี้ราคาก๊าซ LPG ในประเทศมันก็นิ่ง เพราะไม่มีใครเอาก๊าซหุงต้มไปขายเป็นก๊าซใช้ในรถยนต์ ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับกำไรเรา"นางจินตณา กล่าว