ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 1,500 ล้านบาท และเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงรับงานเข้ามาเพิ่มเติมอีก คาดว่าสิ้นปีนี้จะมี backlog เพิ่มเป็น 2,500 ล้านบาท
"ปีนี้รายได้น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากที่คาดว่างานในมือ ณ สิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ยังไม่รวมโครงการ ชิป หมง แลนด์ ในประเทศกัมพูชา เพราะว่าโครงการดังกล่าวน่าจะมีการรับรู้รายได้ในปีหน้ามากกว่า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิก็น่าจะอยู่ที่ 13% เนื่องด้วยไตรมาส 3 นี้จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของการรับรู้รายได้"น.ส.กนกนารถ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ 85% และที่เหลือจะเป็นงานภาคเอกชน จากปีก่อนงานภาครัฐมีสัดส่วนอยู่ที่ 70% และภาคเอกชน 30% ซึ่งครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะไตรมาส 3/58 ภาครัฐน่าจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณมากขึ้น ส่งผลให้มีงานออกมามากขึ้น โดยบริษัทได้เตรียมยื่นประมูลงานเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง และน่าจะมีโอกาสได้งานถึง 50%
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ธุรกิจตกแต่งภายใน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปีนี้ จะมีสัดส่วนที่เท่ากัน 50:50 โดยล่าสุดได้รุกโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Hi-end ราคาไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท/ยูนิต ย่านกรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายได้ในช่วงต้นปี 59
พร้อมกันนั้น บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อสินทรัพย์ที่ขายทอดตลาดมาพัฒนาต่อ โดยปัจจุบันมีผู้มาเสนอขายแล้ว 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการราวประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
นางสาวกนกนารถ กล่าวว่า บริษัทยังมีเงินสดเพียงพอต่อการลงทุน และสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ในระดับต่ำที่ 0.2 เท่า จึงยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้อีกราว 1,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีนโยบายควบคุม D/E ไม่ให้เกิน 1.5 เท่า
สำหรับแผนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม บริษัทยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐ โดยมองว่าน่าจะเป็นโรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่พอสมควร หลังจากที่ได้ติดตั้งโครงการโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงานขนาดครึ่งเมกะวัตต์ และมีการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบแล้ว