ผลประกอบการที่ดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจ่ายคืนหนี้และดอกเบี้ยให้กับสถาบันทางการเงินเหลือ 12-13 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 22 ล้านบาท หลังจากบริษัทได้เพิ่มทุนไปเมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง บริษัทยังได้รับประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ลดลงตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 60 เหรียญ/บาร์เรล อีกทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่ายังช่วยสนับสนุนให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 21% จากปีก่อนมีสัดส่วนที่ 19% ของยอดขายรวม โดยจะเข้าไปเจาะตลาดใหม่ๆ เช่น ออสเตรเลีย และยุโรปตะวันออก ซึ่งจะได้ความชัดเจนในการขยายตลาดใหม่ทั้ง 2 ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกไปยังเวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย เนปาล และบังคลาเทศ
“แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก มีอัตราการเติบโตสูงกว่า จีดีพีของประเทศอย่างต่อเนื่องทุกปี ขณะเดียวกันราคาน้ำมันและปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 57 ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง ส่งผลให้ราคาสินค้าในตลาดปรับตัวลดลง ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ทั้งในตลาดบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ตลอดจนอุตสาหกรรมรถยนต์ จากสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้เห็นโอกาสที่ผลประกอบการปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่ดี เป็นปีที่ดีของ COLOR และหวังไว้ว่าผลการดำเนินงานจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้" นายขวัญชัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 จะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้อยู่ที่ 214.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10.19 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปีนี้จากปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 ตัน/ปี หรือคิดเป็นการใช้กำลังการผลิตที่ 60% เนื่องจากกภาวะของตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายการลงทุน
“จากการคาดการณ์สภาพแนวโน้มกำลังซื้อจากตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศที่กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เหมาะสมกับธุรกิจส่งออก จะเป็นแรงส่งและผลักดันให้การดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2 นี้ มีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้" นายขวัญชัย กล่าว