เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะรับรู้กำไรมากขึ้นจากบริษัท ไทยพีเจ้น จำกัด(TP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ในปีก่อนมีผลการดำเนินงานไม่ดีนัก เพราะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังเกาหลีหดตัวลง แต่ปีนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประกอบกับ ยอดการจับจ่ายทั้งในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟื้นตัวดีขึ้นตามยอดนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งช่วยหนุนกำไรของบริษัท
"รายได้รวมปีนี้เรายังคงไว้ที่ 10-15% จากเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นได้ ประกอบกับเราก็มีสินค้าเข้ามาใหม่ 2 ผลิตภัณฑ์ แต่ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อยอดขายในปีนี้มากนัก แต่จะเป็นฐานที่ดีสำหรับปีต่อไป อย่างไรก็ตาม เราก็ยังต้องบริหารจัดการสินค้าที่มีอยู่ในพอร์ตของเราอยู่"นางสาวสุวรรณา กล่าว
นางสาวสุวรรณา กล่าวว่า สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก, ค่าคอมมิชชั่น ที่จะเกิดจากบริษัท โยชิโน มุ่งพัฒนา (ประเทศไทย) จำกัด และเงินปันผลที่จะได้จาก 3 บริษัท ได้แก่ TP ที่ MOONG ถือหุ้นในสัดส่วน 47% บริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 2.5% และบริษัท โยชิโน มุ่งพัฒนา (ประเทศไทย) ถือหุ้นในสัดส่วน 6%
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายยอดขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3 ปีนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วนไม่ถึง 1% และมองโอกาสขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม CLMV อีก เช่น พม่า และเวียดนาม จากเดิมที่มีตลาดอยู่ในลาวและกัมพูช แล้ว นอกจากนี้วางงบลงทุนด้านการตลาดปีนี้ไว้ราว 40-50 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในเรื่องการโปรโมทสินค้าวีแคร์ผ่านสื่อออนไลน์ ,สื่อบนสถานีรถไฟฟ้า BTS และสื่อนอกบ้าน (Out of Home) รวมไปถึงการทำเวิร์คช็อป, โรดโชว์ เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/58 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/58 เป็นไปตามกำลังซื้อที่ยังทรงตัว จากเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ร้านค้าปลีกหลายรายมีการสต็ออกสินค้าลดลง แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีสินค้าใหม่เข้ามาเสริม ก็น่าจะช่วยผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เพิ่มขึ้นบางส่วน
ด้านนายสุเมธ เลอสุมิตรกุล ประธานคณะกรรมการ ของ MOONG กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในธุรกิจใหม่ ที่จะเข้ามาส่งเสริมให้รายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ซึ่งมีนโยบายเข้าถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า 50% และเป็นธุรกิจที่มีความถนัด โดยการสรุปแต่ละดีลนั้นขึ้นอยู่กับโอกาส โดยแหล่งที่มาของเงินทุนจะมาจากวงเงินที่ได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนในวงจำกัด (PP) มีอายุระยะเวลาดำเนินการภายใน 1 ปี ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนที่จะดำเนินการดังกล่าวในช่วงนี้