อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะยังมีกำไร แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะยังขาดทุน แต่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับฟอร์ดจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3% ซึ่งแม้ยอดขายจะไม่มากเท่ากับโตโยต้า แต่ให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีกว่า อีกทั้งบริษัทยังได้งานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าของแคนนอน ซึ่งให้มาร์จิ้นดีเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทประเมินกำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 12.66% และในปี 59 อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก 1-2% จากการรับรู้รายได้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับฟอร์ดและผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับแคนนอนเต็มที่ตลอดทั้งปี
“การที่เราเพิ่มสัดส่วนผลิตชิ้นส่วนให้กับฟอร์ดเรามองถึงการกระจายความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันเรายังผลิตชิ้นส่วนให้กับโตโยต้าเป็นหลักที่ 50% แต่หลังจากฟอร์ดเพิ่มเป็น 10% แล้ว สัดส่วนของโตโยต้าจะลดลงมาเหลือ 40% ส่วนที่เหลือเป็นค่ายอื่นๆ คละกัน อีกทั้งการผลิตชิ้นส่วนให้กับฟอร์ดนั้นมีมาร์จิ้นที่ดีกว่า เพราะมามี Value added จากการผลิต แม้ว่ายอดขายรถยนต์เขาจะไม่เยอะมากนัก ตรงนี้มันก็จะไปช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นเราดีขึ้น"นายจุมพล กล่าว
สำหรับรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าอาจจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.62 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทประเมินยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2 ล้านคัน เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศยังไม่ฟื้นตัวกลับขึ้นมาดีมากนัก เพระเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว
ด้านงบลงทุนในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 40-50 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในการปรับปรุงซอฟแวร์ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร และการก่อสร้างบูธพ่นสีเพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับฟอร์ด ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เงินลงทุนอยุ่ที่ 15-20 ล้านบาท