"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ นั้น ถ้าไปดูข้อมูลย้อนหลังจะเห็นว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะทำให้หุ้นขึ้น แต่ก่อนหุ้นจะขึ้น จะเกิดความผันผวนก่อนและค่อยขึ้น ดังนั้นโอกาสที่จะเห็น 1,600 จุดในช่วงปลายไตรมาส 3 ต้นไตรมาส 4 ยังเป็นไปได้อยู่" นายกวี กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์, พลังงาน, รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มท่องเที่ยว ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น อสังหาริมทรัพย์, โรงพยาบาล และค้าปลีก
ล่าสุด SET Index ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ 1,513.80 จุด เพิ่มขึ้น 9.76 จุด (+0.65%)
นายกวี กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังมีแนวโน้มที่เป็นบวก แม้ช่วง 1-2 เดือนจากนี้จะมีปัจจัยกดดันระยะสั้นอยู่บ้าง เช่น กรณีที่สหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในช่วงไตรมาส 2/58 มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ส่วนปัจจัยพื้นฐานที่มองว่าเป็นตัวช่วยหนุนตลาด ได้แก่ เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจไทยเองจะเริ่มฟื้นเมื่อเห็นความชัดเจนในการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะเห็นว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายงบลงทุนที่สูงขึ้น และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเริ่มเบิกจ่ายได้ดีขึ้นซึ่งจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงจากการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งเงินบาทอ่อนค่าจะช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกได้ดีขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะปรับตัวดีขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ทั้งการลงทุนภาครัฐ การส่งออก และการท่องเที่ยวเมื่อดีขึ้น จะทำให้การลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นตาม หลังจากนั้นการบริโภคภาคประชาชนจะตามมา
"ดังนั้นช่วงที่แกว่งอยู่ 1-2 เดือนนี้ ดัชนีคงแกว่งไปไหนไม่ได้ไกล ที่ขึ้นมา 1,530 จุด เดี๋ยวก็โดน take เต็มที่ก็ 1,550 จุด ส่วนขาลงก็จะมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ลงไปอย่างมากก็ไม่เกิน 1,480 จุด หรือเลวร้ายก็ไม่เกิน 1,450 จุด ถ้าจะเก็งกำไรระยะสั้นในช่วง 1-2 เดือนจากนี้ไป ก็เล่นอยู่ในกรอบ 1,480-1,530 ห้ามนักลงทุนระยะสั้นทำตัวแบบนี้ คือ ลงมาก็กลัวไม่กล้าซื้อ หรือขึ้นไปก็โลภไม่กล้าขาย ไม่ควรกลัวเมื่อหุ้นปรับฐานลง ถ้ามั่นใจว่าเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวได้อยู่" นายกวี กล่าว
พร้อมระบุว่า ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดัชนีหุ้นไทยก็จะยังแกว่งตัวอยู่ รวมทั้งยังมีเรื่องผลประกอบการในไตรมาส 2 ของ บจ.เป็นตัวกดดัน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน นั่นคือการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งวันนั้นตลาดหุ้นอาจจะลงไปได้ชั่วคราวแล้วจะกลับขึ้นมาใหม่
ขณะที่ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยในปี 59 มีโอกาสจะขึ้นไปที่ 1,700 จุด และปี 60 มีโอกาสที่จะทำ New High ไปถึง 2,000 จุด เนื่องจากเป็นช่วงที่ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ประกอบกับคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นแล้ว และอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาขึ้น