ดังนั้น ตลท.จึงต้องให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนตระหนักและเห็นถึงความสำคัญการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล โดยที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นประชาชนหันมาลงทุนมากขึ้นหลังอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยปัจจุบันมีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนกองทุนรวมราว 4.4 ล้านบัญชี และบัญชีหลักทรัพย์ 1.1 ล้านบัญชี
"เรามีหน้าที่ทำให้เห็นความสำคัญการบรืหารจัดการการเงิน เหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าต้องการสุขภาพดี ขี้เกียจก็ไม่ได้ การบริหารจัดการการเงินก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีแต่เรื่องลงทุนหุ้นอย่างเดียว"นางเกศรา กล่าว
ที่ผ่านมา คนไทยนิยมออมเงินผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ส่วนใหญ่เน้นการลงทุนตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนต่ำประมาณ 1-5% ดังนั้น การวางแผนการเงินโดยนักวางแผนการเงินมือาชีพเข้ามาช่วยวางแผนกระจายการลงทุนน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 17% แต่ก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี หากลงทุนระยะยาวจะเป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง ขณะที่พันธบัตรให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี ส่วนเงินฝากให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2% ต่อปี
ผู้จัดการ ตลท.กล่าวย้ำว่า ณ วันนี้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยมีผู้สูงอายุกว่า 10% ของจำนวนประชากรรวม 68 ล้านคน และจะขยับเป็น 20%ในไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่ออมเงินและบริหารจัดการการเงินในวันนี้ก็จะมีปัญหาในวันข้างหน้า และเชื่อมั่นว่าถ้ามีการบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดปัญหาหลายๆ เรื่องลงได้
ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ตอนนี้คนไทยโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนตื่นตัวในการวางแผนการเงิน แต่ยังต้องมีทักษะการเงินมากขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองไม่ตกเป็นเหยื่อคนที่ไม่หวังดี และเพื่อความมั่งคั่งของต้วเอง ปัจจุบันสัดส่วนผู้ที่ไม่มีเงินออมสูงถึง 22.6% และมีจำนวนเกินครึ่งของประชากรไทยที่มีแนวโน้มออมเงินไม่พอใช้สำหรับวัยเกษียณ และมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่มากพอ จึงต้องเริ่มวางแผนการเงินด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ แนะนำการวางแผนลงทุนเบื้องต้นให้กระจายเงินลงทุนไปในตลาดหุ้น 10-15% ตราสารหนี้ 30-40% แต่ไม่แนะนำลงทุนทองคำ เพราะในช่วง2ปีนี้ราคาทองคำจะไม่ไปไหน
ส่วนนางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/58 จะไม่แตกต่างจากไตรมาส 2/58 มากนัก เพราะภาพการเมืองในประเทศยังคงไม่ชัดเจน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ก็ยังไม่ความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นหรือคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีความแน่นอนประมาณปลายไตรมาส 3 หรือประมาณเดือน ก.ย.นี้
แนะนำหุ้นที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์. เครื่องดื่มชูกำลัง อุตสาหกรรมก่อสร้างที่เกี่ยวก้บงานภาครัฐ และกลุ่ม Transport รถไฟฟ้าและธุรกิจการแพทย์ กลุ่มโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่เลี่ยงการลงทุน ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรพันธ์ที่ซัพพลายมีมากขึ้น กลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันผันผวน และกลุ่มเหล็ก