นางณัฐชนัญ เก่งลือชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ช่องทางการจัดจำหน่าย KTC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกบัตรเครดิตทั้งปีนี้อยู่ที่ 4 แสนราย และสินเชื่อบุคคล 1.5 แสนราย โดยการขยายฐานสมาชิกใหม่ของ KTC ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามีอัตราเติบโตสูงขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 57 ซึ่งตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค.58 ได้อนุมัติสมาชิกรายใหม่ในทุกผลิตภัณฑ์แล้วราว 1.7 แสนราย แบ่งเป็นบัตรเครดิตจำนวน 1.2 แสนราย และสินเชื่อบุคคลอีก 5 หมื่นราย
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ KTC เตรียมขยายฐานสมาชิกเพิ่มเติมอีกประมาณ 3.8 แสนราย แบ่งเป็นบัตรเดรดิต 2.8 แสนราย และสินเชื่อบุคคล 1 แสนราย ด้วยการขยายฐานแบบกรุ๊ปเซลล์ ในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ทำงานอยู่ในบริษัทชั้นนำของแต่ละธุรกิจ เช่น กลุ่มสื่อสาร การเงิน การธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยวและการโรงแรม และกลุ่มอาชีพอิสระ รวมถึงการสรรหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ๆ เพื่อร่วมมือกันขยายธุรกิจและฐานสมาชิกใหม่ของกันและกัน
"กลยุทธ์ในปีนี้เคทีซีจะขยายผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เพิ่มเป็น 6 พันคน โดยจะเน้นการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ โดยจัดสรรงบประมาณในการจัดอบรมสัมมนา เสริมทักษะและความรู้ต่างๆ รวมถึงเทคนิคการแนะนำกลุ่มเป้าหมายหลัก เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน อีกทั้งจะมุ่งขยายลูกค้าไปยังกลุ่มอาชีพอิสระมากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 1 ล้านคน รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นการทำงานในทุกอาชีพในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน"นางณัฐชนัญ กล่าว
นอกจากนี้ KTC จะมุ่งเน้นไปที่สองช่องทางหลัก คือ เอาท์ซอร์ส เซลส์ และสาขาของธนาคารกรุงไทย เนื่องจากทั้งสองช่องทางมีผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (อิสระ) หรือตัวแทนขาย (อิสระ) และเครือข่ายสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 1.2 พันสาขา รวมทั้งศูนย์บริการลูกค้า "เคทีซี ทัช"ซึ่งปัจจุบันมี 23 สาขา แบ่งเป็น ในกรุงเทพฯ 22 แห่ง และเชียงใหม่ 1 แห่ง
ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเดรดิตปีนี้ KTC ยังคงเป้าหมายเติบโต 15% หรือคิดเป็น 6,500 บาท/บัตร/เดือน ขณะที่จะรักษาสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)สิ้นปีนี้ไม่ให้เกินระดับ 2.4% ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม กรณีที่หนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง ไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทปรับกลุ่มเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อหันมาเน้นกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงระดับสูง มากกว่าผู้ที่มีรายได้น้อย และเชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโครงการลงทุนภาครัฐที่จะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงครึ่งปีหลังนี้