แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/58 ของ RS คาดว่าจะพลิกกลับเป็นกำไร หลังจากไตรมาส 1/58 มีผลขาดทุนราย 41 ล้านบาท เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายทั้งค่าโครงข่ายช่องทีวีดิจิตอล และค่าใบอนุญาตที่ต้องจ่ายให้กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมทั้งมีการลงทุนเพิ่มคอนเทนต์ ซึ่งเป็นไปตามที่คาดอยู่แล้วว่าจะต้องรับรู้ผลขาดทุนในไตรมาสแรก
"ไตรมาส 2/58 แนวโน้มรายของช่อง 8 น่าจะมากกว่าไตรมาส 1/58 ที่ยังรับรู้รายได้น้อย และเป็นปกติที่ไตรมาส 1 ลูกค้าจะไม่ใส่เงินโฆษณาเข้ามามากนัก แต่จะเริ่มใช้เงินในไตรมาส 2 และจะเห็นมากขึ้นในไตรมาส 3-4 ซึ่งก็จะทำให้ครึ่งปีหลังรายได้สูงกว่าครึ่งแรกอย่างมาก และไตรมาส 2 นี้ไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาต หรือค่าจัดส่งให้กับ กสทช.อีกแล้ว"นายองอาจ กล่าว
ทั้งนี้ รายหลักของ RS มาจากธุรกิจสื่อ 80% เพลง 8% และอีเวนต์ 12% โดยธรกิจสื่อมี"ช่อง 8"เป็นตัวสร้างรายได้หลักที่คาดว่าปีนี้จะทำรายได้ราว 1,900 ล้านบาท เติบโต 60% จากปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 40% ของรายได้รวม RS แม้ว่าครึ่งปีแรกจะยังทำรายได้แค่ 30% ของเป้าหมายทั้งปี แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะทำได้ตามเป้าแน่นอน เนื่องจากแนวโน้มเติบโตของช่องทีวีดิจิตอล เรตติ้งที่ดี การใช้พื้นที่โฆษณามากขึ้น และคอนเทนต์ได้รับความนิยมมากขึ้น
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมอาเซียน(AEC)ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ส่วนหนึ่งเพิ่มเข้ามาจากการขายลิขสิทธิ์ละครให้กับประเทศเพื่อนบ้านเช่น เวียดนาม พม่า และลาว โดยค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวจะรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน บริษัทจะเน้นการทำการตลาดในรูปแบบออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง และโซเชียลมีเดียมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ก็น่าจะดึงรายได้จากส่วนนี้เข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย
นายองอาจ กล่าวอีกว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุนสำหรับช่อง 8 ในครึ่งปีหลังอีกราว 400-500 ล้านบาท เพื่อผลิตคอนเทนต์ โดยเฉพาะการผลิตละครราว 400 ล้านบาท และปรับปรุงเทคโนโลยีกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในแผนทั้งปีที่เตรียมเงินลงทุนไว้ 1,200 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกใช้แล้วราว 700 ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าเรตติ้งของช่อง 8 จะขึ้นเป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มทีวีดิจิตอลก่อนสิ้นปีนี้แน่นอน โดยขณะนี้ช่วงรายการข่าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ไปแล้ว
ขณะที่บริษัทยืนยันว่ายังไม่มีแผนปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาของช่อง 8 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันคิดอัตราค่าโฆษณา 3 ระดับ ได้แก่ 2 แสนบาท/นาที และต่ำสุด 6 หมื่นบาท/นาที
"ปัจจัยเสี่ยงมากที่สุดตอนนี้คือ ความไม่แน่นอนของ กสทช. กังวลว่าการทำงานของ กสทช.จะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า"นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ มองว่า ในปีหน้าภาพรวมของธุรกิจทีวีดิจิตอลจะมีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าจะเหลือ 16-17 ช่อง จากปัจจุบันที่มี 22 ช่อง โดยกลุ่มที่จะเหลืออยู่คือ กลุ่ม TOP5 ที่สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีผลประกอบการทรงตัวและพยายามจะดำเนินธุรกิจต่อไปแม้ฐานะจะสั่นคลอน ส่วนกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่จะล้มหายตายจากไป
ขณะที่ช่อง 8 มีการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องทุกเดือน ทำให้เห็นการเติบโตในไตรมาส 2 อย่างสดใสเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ค่อนข้างซบเซา โดยล่าสุดได้ปรับเนื้อหาละครให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อขยายฐานผู้ชมไปสู่กลุ่มใหม่ ๆ อย่างผู้ชมในกรุงเทพฯ มาเสริมทัพกลุ่มเดิม คือ ผู้ชมตามหัวเมืองและต่างจังหวัดที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ซึ่งเริ่มจากการนำละครเรื่อง“คุณหญิงนอกทำเนียบ"มาออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ และมั่นใจว่ากระแสตอบรับจะดีตามเป้าหมายที่วางไว้
รวมทั้งได้เพิ่มเวลาออกอากาศละครอีกเรื่องละ 30 นาที เป็น 1.30 ชั่วโมง จากเดิม 1 ชั่วโมง และเตรียมผลิตละครใหม่อีกกว่า 10 เรื่อง ได้แก่ ดอกซ่อนชู้, มนต์รักอสูร, ล่าดับตะวัน, ระบำไฟ และ เพลงสุดท้าย เป็นต้น รวมถึงผลิตซิทคอม“โฮเตลเวลคัม"เป็นเรื่องราวของคนในโรงแรมที่สุดวุ่นสุดป่วน และละครซีรี่ส์สำหรับชีวิตรักคนเมืองอย่าง“รักสตอรี่"จะออกอากาศในเดือน ส.ค.58
พร้อมทั้งเตรียมเพิ่มรายการวาไรตี้ใหม่อีก 5 รายการ ได้แก่ รายการ“ดาวประจำเมือง"ที่จะเฟ้นหาหนุ่มหล่อสาวสวยในทุกๆ อาชีพ รายการ“บิ๊กเฮง" เป็นเรื่องราวของดารากับความเชื่อ และ รายการ"จิ๋วซ่า"เป็นเรียลิตี้เด็กที่น่ารักสุดแสบซ่า เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนละครเพิ่มเป็น 20% จากเดิม 15% ขณะที่รายการวาไรตี้ 50% รายการข่าว 25% และรายการกีฬา 5%
นอกจากนี้ RS ยังเตรียมจับมือกับ“เจเอสแอล"และ“แฮปปี้ทูเกทเตอร์"ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์มากประสบการณ์ เข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจด้านผลิตคอนเทนต์ทั้งละครและรายการวาไรตี้ โดยจะมีรายการใหม่ๆ เข้ามาเริ่มออกอากาศช่วงเดือน ส.ค.นี้
"คอนเทนต์สำคัญที่จะได้เห็นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทำให้สัดส่วนการผลิตคอนเทนต์เองอยู่ที่ 90% และรับจ้างผลิตอยู่ที่ 10% ซึ่งคาดว่าการปรับเปลี่ยนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้มียอดผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทันทีเฉลี่ยประมาณ 3.5 แสนคนต่อนาที จากปัจจุบันมียอดผู้ชม 2.5 แสนคนต่อนาที ถือเป็นตัวเลขที่พึงพอใจ เพราะสามารถรักษาเรตติ้งให้เสถียรครองอันดับ 4 ของประเทศ"นายองอาจ กล่าว