โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าว อยู่ภายใต้ชื่อบริษัท Asia Bitumen Trading Pte Ltd (ABT) ได้เริ่มดำเนินธุรกิจแล้วในช่วงไตรมาส 2/58 และจะเริ่มมีกำไรทันที ซึ่ง SK Energy ถือเป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่สุดในเกาหลีใต้ มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 1.115 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งยังเป็นผู้ค้ายางมะตอยรายใหญ่ที่สุดของเอเชียด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ TASCO มีกำลังการผลิตของโรงกลั่นอยู่ที่ 30,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นผู้ค้ายางมะตอยรายใหญ่อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ค้ายางมะตอยรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังจัดซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นอื่นๆ ในภูมิภาคเพื่อส่งไปขายลูกค้าต่างประเทศอีกด้วย
"การรวมตัวของ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ตลาดยางมะตอยในภูมิภาคเชียแปซิฟิค ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และทำให้คู่ค้ายางมะตอยมั่นใจได้ว่าจะสามารถส่งมอบยางมะตอยได้ตามคำสั่งซื้อที่มีเข้ามา เพราะต้องยอมรับว่าดีมานด์ยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้จำนวนเรือยางมะตอยจะยังคงไม่เพียงพอความต้องการไปอีกอย่างน้อย 2 ปี จนกว่าเรือที่อยู่ระหว่างการต่อใหม่จะเข้าสู่ระบบ และไม่มีกำลังการผลิตยางมะตอยใหม่ในเอเชีย เนื่องจากโรงกลั่นส่วนมาก เลือกที่จะอัพเกรดโรงกลั่นแทนที่จะขยายกำลังการผลิต และถ้าหากจะมีโรงกลั่นใหม่เกิดขึ้นในเอเชีย อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีในการก่อสร้าง"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่รัฐบาลหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคประกาศโรดแม็พการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้น จะพบว่าหัวใจสำคัญของการเติบโตในตลาดต่างประเทศนั้นอยู่ที่การจัดส่งยางมะตอยได้ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีเรือขนส่ง 11 ลำเป็นของบริษัท 7 ลำ ของพันธมิตร 2 ลำ และเช่า 2 ลำ ด้านราคาขายยางมะตอยในตลาดต่างประเทศยังคงสดใสหลังจากปัจจุบันเกิดปัญหาขาดแคลนเรือขนส่งยางมะตอยในการจัดส่งสินค้า
ขณะที่มั่นใจว่า แนวโน้มยอดขายของ TASCO จะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามียอดขาย 2.03 ล้านตัน เพราะยอดขายส่วนใหญ่ของ TASCO มาจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งการที่รัฐบาลในหลายประเทศมีการประกาศโรดแม็พขยายเส้นทางเพื่อรองรับการขนส่งในตลาดเออีซีนั้น จะยิ่งเป็นแรงหนุนให้ดีมานด์ยางมะตอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 1,500 ล้านบาท ในปีนี้เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ โดยเฉพาะที่โรงกลั่น พร้อมทั้งสั่งซื้อเรือลำใหม่ 1 ลำ ขนาด 10,000 ตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพื่อรองรับแผนขยายตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีเรือขนส่ง 11 ลำเป็นของบริษัท 7 ลำ ของพันธมิตร 2 ลำ และเช่า 2 ลำ นอกจากนี้ จะซื้อรถขนส่งเพิ่มอีก 50 คัน รวมเป็น 320 คันเพื่อขยายตลาดในประเทศตามยอดขายที่เติบโตขึ้น
สำหรับแนวโน้มยอดขายไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/58 ประมาณ 10-15% ขณะที่ในไตรมาส 3/58 ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่มีการเติบโตสูงสุด (ไฮซีซั่น) คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/58 ประมาณ 20% ซึ่งเป็นไปตามความต้องการทั้งจากภายในประเทศ และต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง