อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่มีมาอย่างยาวนานในตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง และโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงฐานรายได้ของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ ลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative หรือ “ลบ" สะท้อนถึงความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารหลักของบริษัท ในขณะที่การขาดผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ของทีมผู้บริหารชุดใหม่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้สร้างความกังวลต่อการเปลี่ยนมือในช่วงที่ธุรกิจดังกล่าวกำลังชะลอตัว โดยอันดับเครดิต/แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับขึ้นได้หากทีมผู้บริหารชุดใหม่สามารถทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงรักษานโยบายการเงินที่รัดกุมเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน หรือ สถานะทางการเงินที่ด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ระดับการก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ จะส่งผลเชิงลบต่ออันดับเครดิต/แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
กลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมขายหุ้นของตนที่ถืออยู่ในบริษัท 20.64% ให้แก่ บริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส และ บริษัท ซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด ในราคา 6.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท บริษัทแคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส และบริษัทซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 100% โดยนายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด อีกทั้งยังเป็นกรรมการของบริษัทอีกหลายแห่ง โดยหลังจากธุรกรรมดังกล่าว บริษัทแคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส และบริษัทซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด จะถือหุ้น 12.15% และ 8.49% ตามลำดับใน MK ในขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมจะลดลงเหลือ 5.80% จากเดิมที่ 26.44% และกลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมจะออกจากการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัททั้งหมด
ทั้งนี้ นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการของบริษัท โดยมีนายฟิลิปวีระ บุนนาค และนางสุธิดา สุริโยดร เป็นกรรมการบริหารของบริษัท นอกจากนี้ ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูงแต่ยังไม่ครบทุกตำแหน่ง โดยแม้จะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารตั้งแต่ระดับกลางลงไปแต่ผู้บริหารระดับสูงชุดใหม่ยังไม่มีผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลต่อการเปลี่ยนมือช่วงที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังชะลอตัว
ผลการดำเนินงานของบริษัทชะลอตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 435 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 33.4% จาก 40.7% ในปี 2557 โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการทาวน์เฮาส์ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าโครงการบ้านเดี่ยว นอกจากนี้ ยังมีการให้ส่วนลดและโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อเร่งปิดบางโครงการ ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 11.1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 จาก 24% ในปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 21.3% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558
ในขณะที่สภาพคล่องของบริษัทอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 30.7% จาก 36.9% ในปี 2557 และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงมาอยู่ที่ 2.9 เท่า จาก 12.1 เท่าในปี 2557