บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)(KGI) ระบุว่า บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO)จัดการประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และให้ข้อมูลโดยรวมอยู่ในเชิงบวก เราคาดว่าอุปสงค์ของ bitumen จากทั้งในประเทศและในภูมิภาคจะยังคงแข็งแกร่งไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จากงบการปรับปรุงและก่อสร้างถนนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น และคำสั่งซื้อซ้ำจากลูกค้าในจีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรของ TASCO ยังคงเติบโตได้อย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้
ทั้งนี้ KGI ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2558 เพิ่มขึ้นอีก 30.3%YoYเป็น 4.0 พันล้านบาท และคงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 30.40 บาท จากเดิม 23.40 บาท
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุถึงประเด็นการลงทุน TASCO ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2Q58 และ 3Q58 จะสร้างเซอร์ไพร์ทำ New High ต่อเนื่อง เนื่องจาก TASCO มีจุดเด่นด้านโลจิสติกส์ ทั้งมีกองรถบรรทุก และกองเรือเดินสมุทร สำหรับบรรทุกยางมะตอยขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานผลิตและคลังทุกภาคของประเทศ ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านชัพพลาย ในขณะที่ความต้องการสูงทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
แนวโน้มในอนาคตจะยังมีการสร้างเซอร์ไพร์ตลอดทั้งปี Story ยาวไปถึงปีหน้า เพิ่มเป้าหมาย 28 บาท แนะนำ ซื้อเราประเมินราคาเป้าหมาย โดยใช้กำไรเฉลี่ยของปี 58 และ กำไรปี 59 เป็นกำไรปกติ และ ใช้ P/E เท่ากับ 12 เท่า (PE + 1SD) จะได้ราคาเป้าหมายใหม่เท่ากับ 28 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 19 บาท แนะนำ ซื้อ เพิ่มเกรดจากเดิม TRADING BUY
ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.เอเชีย พลัส มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นฐานของ TASCO เปลี่ยนแปลงจากอดีตอย่างสิ้นเชิง คือต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลง หลังโลกมี Supply พลังงานแหล่งใหม่ จาก Shale Oil&Gas อีกทั้ง TASCO ยังได้มีการทำสัญญาซื้อน้ำมันดิบในระยะยาวจาก PDVSA ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของเวเนซุเอล่า ทำให้สามารถจัดหาวัตถุดิบได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด ขณะที่การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับ SK Energy ซึ่งเป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่ของเกาหลีใต้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในระยะยาวให้กับ TASCO ทั้งเรื่องเทคโนโลยีการ การบริหาร Supply Chain และการทำการตลาดร่วมกัน
แนวโน้มกำไร 2Q58 และ 3Q58 ที่น่าจะออกมาโดดเด่นอย่างมาก ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 58 ขึ้นจาก 2,953 ล้านบาท เป็น 4,245 ล้านบาท ขณะที่ฐานกำไรปกติในอนาคตของ TASCO น่าจะเพิ่มสู่ระดับ 700-800 ล้านบาท/ไตรมาส จากพื้นฐานบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับ Fair Value ปี 58 ซึ่งมีฐานกำไรสูงกว่าปกติมาก ฝ่ายวิจัยประเมินโดยอิง PER 10 เท่า จะให้ราคาเหมาะสมในปีนี้อยู่ที่ 27.50 บาท ซึ่งคิดเป็น PER ปี 59 ที่ 14 เท่า มี Upside จากราคาปัจจุบันอีกกว่า 35% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ