สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนด้วยการขายหุ้น IPO บริษัทจะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตและนำไปชำระหนี้บางส่วน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ของบริษัทต่ำกว่า 1 เท่าหลังจากเข้าตลาด จากสิ้นไตรมาส 1/58 อยูที่ 4 เท่า ทั้งนี้ สัดส่วนการขาย IPO ของบริษัทคาดว่าจะแบ่ง 40% ขายให้กับนักลงทุนสถาบัน และอีก 60% จะขายให้กับนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วบริษัทคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ในปีต่อไปประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมราว 1 หมื่นล้านบาท โดยยังเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการแนวราบ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ทำได้แล้วราว 2 พันล้านบาท และยังมั่นใจยอดขายปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5.5 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกบริษัทจะทำยอดขายให้ได้ 2.5 พันล้านบาท และในครึ่งปีหลังตั้งเป้าทำยอดขายได้อีก 3 พันล้านบาท ขณะที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในครึ่งปีหลังเพิ่มอีก 2 โครงการที่ศรีราชาและแหลมฉบัง จ.ชลบุรี มูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทเปิดโครงการใหม่รวม 5 โครงการ มูลค่ารวม 3.22 พันล้านบาท
ขณะที่วันนี้ บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ติดรถไฟฟ้า โครงการไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ มูลค่าโครการ 1.34 พันล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 2 ไร่ 3 งาน 56 ตารางวา เป็นอาคารสูง 15 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 490 ยูนิต ขนาดห้องเริ่มต้น 22.52 ตารางเมตร ถึง 48.32 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดพรีเซลในรอบ VIP ไปแล้ว 300 ยูนิต จาก 490 ยูนิต หรือคิดเป็น 60% โดยบริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 3/58 หลังจากเปิดรอบพรีเซลอย่างเป็นทางการในต้นเดือนก.ค.นี้ ยอดขายของโครงการดังกล่าวจะขยับขึ้นเป็น 80%
บริษัทมองทำเลย่านสะพานใหม่เป็นทำเลที่มีศักยภาพ จากการที่อนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเกิดขึ้น ประกอบกับเป็นถนนสายหลักที่มีการสัญจรมาก และย่านนี้เป็นย่านการค้าและตลาด แหล่งสถานศึกษา และกรมทหาร ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาจองโครงการ เป็นคนในละแวกดังกล่าว และเป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูง จึงทำให้ยอดจองในช่วง VIP มากถึง 60%
นอกจากนี้บริษัทยังจะนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปโรดโชว์ในงานที่ต่างประเทศเพื่อเสนอให้กับลูกค้าต่างชาติที่มีสัดส่วน 12% โดยอันดับหนึ่งเป็นลูกค้าชาวญี่ปุ่น อันดับสอง คือ สิงคโปร์ และอันดับสาม คือ จีน โดยในเดือน ส.ค.นี้ บริษัทจะนำโครงการ 4-5 โครงการย่านสุขุมวิทไปออกบูธในงานแฟร์ที่กวางโจว ประเทศจีน โดยเดินทางไปกับธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ซึ่งเป็นผู้จัดหาโควตาให้กับบริษัท
ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่กว่า 5 พันล้านบาท โดยจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้กว่า 1 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 61 โดยบริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าที่มากกว่า 2 พันล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/58 บริษัทมีรายได้แล้ว 489.50 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมพร้อมโอน ช่วยให้ภาระด้านดอกเบี้ยเงินผ่อน ของลูกค้าลดลง นอกจากนี้ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างไตรมาส 2/58 และไตรมาส 3/58 จะได้รับแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีกำลังซื้อมากขึ้น แม้ว่าหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่ก็ลดลงมาบ้างแล้ว โดยปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทอยู่ในระดับที่ต่ำมากที่ 3% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดรวมที่ 20%