ทั้งนี้ การประกาศซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้น 1 สัปดาห์หลังจากการเข้ามาของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัท และหลังจากที่ทริสเรทติ้งได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative" หรือ “ลบ" จาก “Stable" หรือ “คงที่" แล้ว
เครดิตพินิจแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนความกังวลต่อการดำเนินธุรกิจและสถานะทางการเงินของบริษัทมั่นคงเคหะการหลังการควบรวมกิจการดังกล่าวเสร็จสิ้น โดย ณ ปัจจุบัน สถานะทางการเงินของบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ถือว่าอ่อนแอกว่าของบริษัทมั่นคงเคหะการ แม้การซื้อกิจการจะช่วยสร้างรายได้ประจำให้แก่บริษัทมั่นคงเคหะการในระยะยาว แต่ในระยะสั้นอาจสร้างภาระให้แก่งบดุล และ ยังคงสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ที่ยังขาดผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่รวดเร็วของบริษัทได้สร้างความกังวลต่อการบริหารงานของผู้บริหารชุดใหม่ที่มีความกล้าเสี่ยงมากกว่าผู้บริหารชุดเดิม
บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ดำเนินธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าภายในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ปัจจุบันผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย บมจ.ฟินันซ่า (36.38%) นายเชิญชัย นิยานุสร (21.06%) นางสาวประภัสสรา สิริโชติคุณากร (19.98%) บริษัท บีซีเอช พร็พเพอร์ตี้ จำกัด (12.50%) และผู้ถือหุ้นบุคคลอื่น ๆ (10.08%) ในช่วงปี 2555-2557 บริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง 80-430 ล้านบาท โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 176 ล้านบาทในปี 2555 และ 27 ล้านบาทในปี 2557 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ อยู่ที่ 55.1% ในขณะที่ของ MK อยู่ที่ 19.2%
MK วางแผนซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 บริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ มีสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิ 939 ล้านบาท บริษัทมั่นคงเคหะการตั้งใจที่จะชำระราคาหุ้นด้วยการเพิ่มทุนประมาณ 810 ล้านบาทและที่เหลือจะชำระด้วยเงินสดอีก 390 ล้านบาท บริษัทมั่นคงเคหะการจะเสนอขายหุ้นของบริษัทจำนวนประมาณ 132 ล้านหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นปัจจุบันของบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ หลังการแลกหุ้นแล้วเสร็จ บริษัทจะถือหุ้นเต็ม 100% ในบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ และผู้ถือหุ้นปัจจุบันของบริษัทพรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จะถือหุ้น 13.27% ในบริษัท
ทั้งนี้ คาดว่าการซื้อกิจการและการเพิ่มทุนจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน 2558 อย่างไรก็ดี การซื้อกิจการและการเพิ่มทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทมั่นคงเคหะการที่จะจัดประชุมในวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ที่จะถึงนี้ ซึ่งทริสเรทติ้งจะทำการแก้ไขประกาศ “เครดิตพินิจ" อีกครั้งหลังการทำธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นลง