(เพิ่มเติม) "อาซีฟา"เผย ก.ล.ต.นับ 1 ไฟลิ่งขายหุ้น IPO 150 ล้านหุ้นเข้า SETใน Q3/58

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 25, 2015 15:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อาซีฟา(ASEFA) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้นับ 1 แบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ของบริษัทแล้วเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาท คาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ได้ราวไตรมาส 3/58

นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ ASEFA เปิดเผยว่า บริษัทจะเข้าจดทะเบียนใน SET หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร โดยได้แต่งตั้ง บล. ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน แบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน 140 ล้านหุ้น หรือ 25.45% และเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ 10 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.82% วัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายโรงงานและจัดตั้ง สาขาในต่างจังหวัด ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ASEFA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานสากลภายใต้แบรนด์ ASEFA และได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก จาก Schneider และ Socomec นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ระบบกระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า อาทิ รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่างภายใต้เครื่องหมายการค้า ALUMAR ซึ่ง ASEFA มุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนโลหะเพิ่มเป็น 8,400 ตันต่อปี จากปัจจุบัน 4,800 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/59 เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคต รวมทั้งมีแผนจัดตั้งสาขาจำนวน 10 สาขาในหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการเปิด AEC ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางในการขายและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งสำนักงานสาขาตั้งแต่กลางปี 58 และครอบคลุมทุกภาคในปี 59

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวมจำนวน 2,072.89 ล้านบาทในปี 55 จำนวน 2,126.23 ล้านบาท ในปี 2556 และจำนวน 1,704.19 ล้านบาทในปี 57 โดยรายได้ของบริษัทในปี 57 แบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1. รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิต และจำหน่าย ได้แก่ สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่าง เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 67% 2. รายได้จากการขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่บริษัทฯซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% และ 3.รายได้จากงานบริการ ได้แก่ งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องและงานบริการหลังการขาย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,704.19 ล้านบาท ซึ่งในปีก่อนเราได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและบริษัทปรับโครงสร้างภายในด้วยการลดสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ ประกอบกับ ปีนี้บริษัทจะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ได้มีการขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) มูลค่า 500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้เข้ามาเป็นรายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญารับงานใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจการรื้อถอนโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ บริษัทได้มีการตั้งบริษัทร่วมทุน ชื่อ อาซีฟา ซันเทค ล่าสุดบริษัทได้ชนะการประมูลรื้อถอนโรงไฟฟ้าพลังงานร้อนร่วมบางปะกงชุดที่ 1 และชุดที่ 2 แล้ว คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปี 58-59 ราว 470-600 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ในปี 59-64 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ยังมีแผนจะรื้อถอนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 5-6 แห่ง ทางบริษัทฯก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการรื้อถอนนี้ด้วย

"ปีนี้เองเราก็คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% หรือรายได้กลับมาอยู่ที่ประมาณ 2.1 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 56 และในปีถัดๆไปเราก็ตั้งเป้าหมายรายได้ต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ส่วนอัตรากำไรสุทธิปีนี้เราก็มองว่าคงปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 8-9% จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 6% เนื่องจากปีก่อนบริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างภายในโดยการปรับลดการขายสินค้าที่มีมาจิ้นต่ำ แล้วหันมาขายสินค้าที่มีมาจิ้นสูงเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรสุทธิปีนี้ปรับตัวสูงขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 160 ล้านบาท เพื่อใช้ในปี 58-59 โดยจะแบ่งเป็นใช้ในการขยายกำลังการผลิต 130 ล้านบาท และขยายสาขาตามหัวเมืองหลักทั่วประเทศจำนวน 10 สาขา อีก 30 ล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนหนี้ อีกส่วนหนึ่งจะนำไปขยายกำลังการผลิต และขยายสาขาเพื่อรอรับ ความต้องการในต่างจังหวัด และประเทศเพื่อนบ้าน

ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า ASEFA เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจาก ASEFA ถือเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าในประเทศไทย ยังได้สิทธิในการผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าจาก Schneider มากที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังสามารถผลิตและจัดหาอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า ถือเป็น One Stop Service สำหรับลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอนาคต จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ธุรกิจพลังงานและศูนย์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก

ณ วันที่ 18 มี.ค.58 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 550 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 400 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 550 ล้านบาท โดยมีกลุ่มอังคณากรกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 55.54% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และลดลงเป็น 40.39% ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO

ในวันพรุ่งนี้ จะมีการจัดงานอาซีฟาพบนักวิเคราะห์เพื่อนักวิเคราะห์นำข้อมูลไปจัดทำบทวิเคราะห์ และในสัปดาห์ที่ 1-2 เดือน ก.ค.จะมีการนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ที่เชียงใหม่ หาดใหญ่ และกรุงเทพฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ