สำหรับคาดการณ์รายได้ในปีนี้ บริษัทมั่นใจจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% มาอยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,581 ล้านบาท ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับรายได้ จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,003.67 ล้านบาท และจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 25% ใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ที่ 22%โดยปัจจุบันบริษัทมีปริมาณงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นไป และยังอยู่ระหว่างรอลุ้นผลประมูลงานโครงการ High Potential Projects มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่บริษัทเข้าไปรับเอง 65% ส่วนที่เหลือจะเป็นงานที่รับผ่านตัวแทน คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญางานได้ในไตรมาส 4/58 ประมาณ1-2 โครงการ
ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานของไตรมาส 2/58 มองว่ารายได้จะลดลงกว่าไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 1,507.5 ล้านบาท เนื่องจากงานโครงการใหม่ยังอยู่ระหว่างเริ่มต้นโครงการทำให้จะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังแทน ส่งผลให้ครึ่งปีหลังนี้น่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกได้ ขณะที่ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่รองรับปริมาณงานที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสถาบันที่ประเทศญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยจะเดินทางไปร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบล.โนมูระ พัฒนสิน ในช่วงปลายเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้า ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมเดินทางไปโรดโชว์ให้กับนักลงทุนสถาบันที่ประเทศสิงโปร์ โดยจะไปร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ในช่วงปลายเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้าเช่นกัน
บริษัทคาดว่าการไปโรดโชว์ ดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจธุรกิจบริษัทมากขึ้น โดยคาดหวังว่าการไปโรดโชว์ครั้งนี้จะทำให้นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนถือหุ้นในบริษัทมากขึ้น จากปัจจุบันนักลงทุนสถาบันถือหุ้นบริษัทอยู่ที่ราว 2% อย่างไรก็ดีบริษัทต้องการให้สภาพคล่องของบริษัทมีความสมดุล ระหว่างสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมามีการแตกพาร์ และมีการจ่ายปันผลเป็นหุ้นเพื่อทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้น