"ถ้าภาครัฐเริ่มโครงการเมื่อไหร่ ธุรกิจก่อสร้างก็จะได้รับประโยชน์ทั้งหมด แล้วถ้าใครได้งาน เราก็จะมีส่วนได้ด้วยแน่นอน โดยเฉพาะรัศมีโครงการตั้งแต่อีสานถึงภาคใต้ เราชำนาญอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่อคอนกรีตขนาด 2.40 เมตร"นายประทีป กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 58 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ราว 2,500-2,600 ล้านบาท บวก/ลบไม่เกิน 5% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เช่นเดียวกับกำไร แม้ว่าไตรมาส 1/58 กำไรจะปรับตัวลดลงมาเหลือ 13.89 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 66.62 ล้านบาท เนื่องจากส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งธุรกิจก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนหดตัว แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไปจนถึงไตรมาส 4/58 ผลประกอบการจะเป็นขาขึ้น หลังจากเห็นสัญญาณที่ดีของงานภาครัฐที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ
"ไตรมาส 2 งานโยธาเริ่มออกมามากขึ้น แต่มาเริ่มจริง ๆ ช่วงเดือน 5(เดือน พ.ค.) แต่ Q3-Q4 จะเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้ เพราะในลูกค้ากลุ่มธุรกิจก่อสร้างถือว่าเป็นหน้าการขาย วันหยุดก็มีน้อย มีอุปสรรคเดียวคือเป็นช่วงฤดูฝน"นายประทีป กล่าว
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(backlog)สูงถึง 2,300 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับสูงสุดใหม่ หลังจากที่ทำได้ถึง 1,900 ล้านบาทในปี 57 โดย backlog ดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ราว 40% ที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯในปีหน้า ขณะที่คาดว่าจะมีงานใหม่ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง และน่าจะมีงานจรเข้ามาอีก ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ขยับสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% จากปีก่อนงานภาครัฐและเอกชนมีสัดส่วน 50:50
อย่างไรก็ตาม นายประทีป เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณางบไตรมาส 2/58 ในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งอาจจะมีเซอร์ไพร์สเกี่ยวกับการนจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น คาดว่าจะจ่ายในอัตราสูงกว่านโยบายของบริษัทที่กำหนดจ่าย 40% ของกำไรสุทธิแน่นอน