ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีการออกหุ้นกู้ไปแล้วเป็นมูลค่า 220,000 ล้านบาท คาดว่าสัปดาห์นี้จะมีการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงไม่ได้สะท้อนที่อัตราผลตอบแทนของระยะยาว
"ที่ผ่านมาการออกหุ้นกู้ชะลอลง จากดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงมา ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดหวังว่าน่าจะกู้ได้ต่ำกว่านี้ แต่เราเห็นแล้วว่าการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายมันไม่ได้สะท้อนที่อัตราผลตอบแทน ส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น แต่ระยาวไม่ได้ลดลงตาม ผู้ประกอบการน่าจะใช้โอกาสนี้มา Funding ในตลาดบอนด์มากขึ้น จากตัวเลข ณ วันศุกร์ที่ 26 มิ.ย.58 เราทำได้แล้วราว 220,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้า แต่เชื่อว่าสัปดาห์นี้น่าจะเห็นหุ้นกู้ออกเยอะมากในวันสุดท้ายของครึ่งปีนี้"นายธาดา กล่าว
นอกจากนี้ ยอดการลงทุนสุทธิของต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย ขณะนี้มีอยู่ที่ประมาณ 630,000 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมามีเงินไหลออกไปราว 360,000 ล้านบาท เป็นผลจากทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าเฟดยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ แต่จะเห็นได้ว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.49% ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 3% ซึ่งยังปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าสหรัฐฯ
"ผมเชื่อว่า out flow จะไม่รุนแรง ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆก็ตามต้องมีการคาดการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน มองว่ากลไกตลาดจะเข้ามาควบคุมไม่ให้เกิดการช็อกของระบบ จะไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ในแง่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล โดยเชื่อว่ายังมีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน และอุปสงค์ส่วนเกินก็พร้อมที่จะรอช้อนซื้อพันธบัตรตลอดเวลา อย่างน้อยปีละประมาณ 400,000 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินลงทุนของต่างชาติอยู่ราว 600,000 ล้านบาท"นายธาดา กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ในระดับเดิมที่ 1.5% ตลอดทั้งปีนี้ แต่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะยาว อายุ 5-10 ปีจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว และน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป จากโครงการลงทุนภาครัฐที่เห็นความชัดเจนขึ้น และภาคการท่องเที่ยวที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตไปได้
ส่วนสถานการณ์การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันมีการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นการลงทุนในระยะสั้น จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
สำหรับกรณีเรื่องกรีซที่ผ่านมายังไม่ได้รับผลกระทบต่อ fund flow และมองว่าตลาดหุ้นไทยก็มีการคาดการณ์กับสถานการณ์ในแง่ร้ายสุดไว้แล้ว ซึ่งน่าจะมีการรับข่าวไปแล้วพอสมควร รวมถึง GDP ของกรีซ อยู่ในระดับประมาณ 8 ล้านล้านยูโร เชื่อว่าผลกระทบอาจจะมีไม่มากนัก