"รูปแบบที่เจรจาอยู่ดูทุกรูปแบบ ทั้งซื้อกิจการและร่วมธุรกิจกัน ซึ่งการร่วมธุรกิจต้องมองแล้วว่าจะก่อให้เกิด synergy ร่วมกันได้"นายศีลชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการงวดปี 58 (1 พ.ย.57-31 ต.ค.58)จะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ หลังจากงวดปี 57(1 พ.ย.56-31 ต.ค.57)มีผลขาดทุนสุทธิ 4.86 ล้านบาทเนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม
ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของงวดปีนี้ (สิ้นสุดเดือน เม.ย.58)บริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 12.67 ล้านบาท และแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังก็น่าจะมีกำไรต่อเนื่องจากครึ่งแรก เพราะไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่จะทำให้เกิดผลขาดทุน
"ปีนี้มั่นใจกำไรสุทธิ เพราะครึ่งแรกกำไร ครึ่งหลังก็ไม่เห็นตรงไหนจะขาดทุน และครึ่งหลังการรับรู้รายได้จากภาครัฐน่าจะมากกว่าครึ่งแรกที่ส่วนใหญ่เป็นงบฯต่อเนื่อง ปีนี้ครึ่งหลังควรจะดีกว่าครึ่งแรก เพราะเรามี backlog และมีตัวอื่นๆที่คาดว่าจะได้เพิ่มเข้ามาอีกเยอะพอสมควร มีรอเซ็นสัญญางานใหม่ในเดือนหน้าอีก"นายศีลชัย กล่าว
ในงวดปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมใกล้เคียงงวดปี 57 ที่มีรายได้ 979 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงเริ่มต้นการฟื้นตัว ทำให้ลูกค้ายังทำการตลาดไม่มากนัก โดย ณ สิ้นเดือน เม.ย.58 บริษัทมีงานที่เซ็นสัญญาแล้วรอรับรู้รายได้(backlog)ราว 300 ล้านบาทจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในงวดปีนี้(ต.ค.58) และยังมีงานที่คาดว่าจะได้เพิ้มเข้ามาอีกมากกว่า backlog ที่มีอยู่ ซึ่งจะเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่อีก 1 รายในเดือน ก.ค.นี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มรายได้งวดครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้เกือบ 500 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการรับรู้ backlog ที่มาจากงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจในสัดส่วน 33% อุตสาหกรรมยานยนต์ 25% ที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ เช่น พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้มากกว่า 90% เป็นงานภายในประเทศ
"ปีนี้รายได้รวมไม่น้อยกว่าปีก่อน ซึ่งจริงๆแล้วช่วงปลายปีก่อนเราประเมินว่าปีนี้รายได้เราจะเติบโตสูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัว แต่พอพบว่าเศรษฐกิจรากฐานเรากร่อนมากจนเห็นผลช่วงต้นปี บวกกับปัจจัยภายนอกทำให้เศรษฐกิจของเราชะลอ อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังยังมอง positive เพราะปัจจัยหนึ่งคือสินค้าเกษตรกำลังจะขึ้น หวังภาครัฐใช้เงินผลักดันเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวก็ยังมีศักยภาพอยู่ ช่วงปลายปีก็คิดว่าจะดีขึ้น"นายศีลชัย กล่าว
พร้อมกันนั้น บริษัทยังประเมินว่าในปี 59 รายได้น่าจะเติบโตสูงขึ้นมากหรือทำได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าในประเทศคงไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง และสหรัฐมีการเลือกตั้ง ดังนั้น ภาคเอกชนน่าจะใช้เงินมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ส่วนในประเทศ ภาคเอกชนน่าจะใช้เงินทำการตลาดมากขึ้นด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ และงานอีเว้นท์ โดยเฉพาะลูกค้าเดิมทั้งกลุ่มอาหาร และกลุ่มยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็น TOP แบรนด์ที่เป็นลูกค้าของบริษัทมามากกว่า 10 ปี และค่ายใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
"ปีนี้เราเร่งหางานเข้ามาไว้แล้วก็จะ generate ได้ต่อเนื่องในอนาคต"นายศีลชัย กล่าว
ด้านนายชัยจิตต์ เทหะสุวรรณรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน PICO กล่าวว่า ปี 58 บริษัทคาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30% บวกลบ ซึ่งมากกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรเฉลี่ยราว 21-25% เนื่องมาจากความมีประสิทธิภาพของบริษัท รวมทั้งการคัดเลือกลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรมที่มีเน็ตเวิร์คทั่วโลก
"อัตรากำไรขึ้นต้นเราสูงกว่าอุตฯ หรือสูงกว่าเมื่อเทียบบริษัทใหญ่ๆ เพราะเรามี Efficiency สูงกว่าอุตฯที่ราว 25% เพราะความเก่งของเราลูกค้าจึงเลือก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเราน่าจะอยู่ที่ 30% บวก/ลบ"นายชัยจิตต์ กล่าว