ขณะที่ความคืบหน้าการเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์(COD) ของโครงการโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกของบริษัทในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้ง 1.5 เมกะวัตต์ ปัจจุบันใกล้จะติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์แผงแรกแล้ว แต่คงต้องเลื่อนการ COD ออกไปเล็กน้อยเป็นช่วงเดือน ต.ค.จากเดิมที่คาดว่าจะ COD ได้ประมาณเดือน ก.ย.เนื่องจากติดปัญหาทางเทคนิค
อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการผลิตแล้ว คาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาประมาณปีละ 16 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนการลงทุน(IRR) ระดับ 8-10%
ส่วนการเข้าร่วมทุนกับ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) และพันธมิตรรายอื่นๆ เพื่อทำโรงไฟฟ้าชีวมวลนั้น นายอารักษ์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ร่วมทุนมีเป้าหมายที่จะยื่นเสนอขายไฟฟ้าสูงสุดที่ 120 เมกะวัตต์ คาดว่าจะมีมูลค่าลงทุนทั้งโครงการราว 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโรงละ 8-9 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแต่ละโรงสร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท/ปี โดยผลตอบแทนการลงทุน(IRR) ที่ระดับ 12-15%
ด้านแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทนั้น ไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และดีกว่าไตรมาส 1/58 ตามทิศทางกำลังซื้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอารักษ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐในการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ Feed in Tariff Biding (FiT- biding) ภายในเดือน ก.ค.นี้ หลังจากนั้น 1-2 เดือนบริษัทร่วมทุนที่จะจัดตั้งขึ้นมาก็จะยื่นเข้าประมูล
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้ภายในเดือนก.ค. โดยสัดส่วนการร่วมทุนจะเป็นของ ECF สัดส่วน 25% , FPT สัดส่วน 25%, บริษัท วิชญ์ อุตสาหกรรม จำกัด สัดส่วน 25% และบริษัท ทริปเปิ้ล พี แอดไวซอรี่ จำกัด (TRIPLE P) ถือหุ้น 25% โดย TRIPLE P ประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการโรงไม้ โรงเลื่อย จำนวน 15 โรง ซึ่งจะเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลดังกล่าว
สำหรับเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล จะมาจากเงินกู้ 70-80% และส่วนทุน 20-30% โดยขณะนี้ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินแล้ว 2-3 แห่ง คาดว่าจะได้แหล่งเงินครบถ้วน และการลงทุนในโครงการนี้มีที่ปรึกษาทางการเงินศึกษาโครงการให้เป็นอย่างดี ขณะที่ไม่ต้องกังวลต่อปริมาณวัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เนื่องจากมีพันธมิตรในกลุ่มโรงไม้หรือโรงเลื่อยที่สามารถส่งวัตถุดิบได้อย่างเพียงพอ โดยประเมินว่าโรงไฟฟ้าขนาด 8-9 เมกะวัตต์จะใช้วัตถุดิบประมาณ 300 ตันไม้/วัน ซึ่งผู้ประกอบการโรงเลื่อยจะสำรองวัตถุดิบไว้ไม่ต่ำกว่า 450 ตันไม้/วันในช่วงฤดูฝน ขณะที่ฤดูแล้งจะมีวัตถุดิบกว่า 600 ตันไม้/วัน คาดว่าจะมีต้นทุนวัตถุดิบต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นไม่น้อยกว่า 10-15%