"จากวัตถุดิบที่ลดลงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นอีก 3% และส่งผลถึง net profit margin โตอีก 3% ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิโตสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ประกอบกับปีนี้คาดว่ารายได้จะโต 20% จากปีก่อนด้วย"นายสมพล กล่าว
อนึ่ง FPI ระบุว่าในปี 57 มีกำไรสุทธิ 199.3 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1.84 พันล้านบาท
นายสมพล กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อน แม้ไตรมาสแรกจะหยุดผลิตไป 1 สายการผลิต เพราะรอการก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ให้แล้วเสร็จในเดือน พ.ค.หลังจากนั้นก็กลับมาผลิตได้ตามปกติ ซึ่งจะส่งผลให้การใช้กำลังการผลิตในไตรมาส 2/58 เฉลี่ยอยู่ที่ 65-70% จากไตรมาสแรกที่การใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 50-60% ทำให้แนวโน้มรายได้ไตรมาส 2/58 ดีกว่าไตรมาส 1/58
แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้จะชะลอตัว แต่การเติบโตของบริษัทไม่ได้ชะลอตัวไปด้วย เพราะบริษัทเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีกว่าการรับจ้างผลิต(OEM) นอกจากนี้ยังมีการผลิตโมเดลใหม่ที่ให้มาร์จิ้นสูงด้วย ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากการรับจ้างผลิต 80% ขณะที่สินค้ามูลค่าเพิ่ม และการผลิตสินค้าโมเดลใหม่ มีสัดส่วนรายได้รวมกัน 20% ซึ่งสินค่ามูลค่าเพิ่มและโมเดลใหม่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 45% สูงกว่าการรับจ้างผลิต
บริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังรายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรกตามการผลิตที่กลับมาดำเนินการได้เต็มที่ โดยกำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 70-80% ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายคงที่ให้ลดลง 12% และผลักดันให้อัตรากำไรสูงขึ้น โดยการสร้างคลังสินค้าจะทำให้บริษัทสามารถผลิตได้ทั้ง 2 สายการผลิต รวมถึงยังได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มเติมจากการบุกตลาดในยุโรปที่กำลังเจรจาอยู่ 3 ราย รวมมูลค่าราว 130 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือเป็นการรับจ้างผลิตอยู่ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ภายใน 2 ปีนี้
นายสมพล กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ที่ประเทศฝรั่งเศสในเดือน ก.ย.และสหรัฐในเดือน ต.ค. ส่วนในเดือนธ.ค. มีแผนจะไปร่วมงานแสดงรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ของจีน โดยแต่ละปีมีแผนจะโรดโชว์และร่วมงานแสดงต่าง ๆ ในต่างประเทศ 5-6 งาน ซึ่งส่วนหนึ่งจะช่วยขยายตลาดต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงด้วย