"ภาพรวมยังบวกอยู่แต่การโตไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เพราะ 6 เดือนต่ำกว่าเป้า 15% เพราะเศรษฐไทยชะลอผลพวงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวซบเซา ยุโรปก็มีปัญหากรีซ อเมริกาไม่กระเตื้อง ญี่ปุ่นเพิ่งฟื้น จีนชะลอทำให้ทุกประเทศชะลอนำสินค้าเข้า ไทยซึ่งเป็นประเทศส่งออกหลักก็ส่งออกน้อย ราคาพืชผลไม่ดี คนไม่มีเงินจับจ่าย แต่คาดไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสดีสุดเพราะมีการกระตุ้นจากภาครัฐเองคงจะคลี่คลายมากขึ้นในไตรมาส 4"นายไพศาล กล่าว
สำหรับการเติบโตในปีนี้มาจากการเปิดสาขาร้านอาหารเพิ่ม และการออกสินค้าใหม่ประเภทอาหารพร้อมรับประทานมากระตุ้นตลาด โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายอาหารพร้อมทานทั้งแช่เย็นและแช่แข็งเพิ่มเป็น 530 ล้านบาท เติบโตกว่า 100% จากปีก่อนที่มียอดขาย 200 ล้านบาท ซึ่งมีตราสินค้าเพิ่มอีก 1 รายการ คือ โออิชิ เทรนดี้ โรล จากปีก่อนมี 2 รายการ คือ เกี้ยวซ่าและแซนด์วิช
นอกจากนั้น ปีนี้บริษัททุ่มงบการตลาดกว่า 30 ล้านบาทอัดแคมเปญ"ทริปตื่นตัว ทัวร์ตื่นเต้น"ตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.58 ภายใต้แนวคิดที่ว่า กิน-เที่ยว... ไม่ธรรมดา! สุขสันต์ หรรษา ฟินเป็นบ้ากับ “กัปตัน – ไวท์ – เงิน" ดึง 3 นักแสดงดาวรุ่ง กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง, ไวท์-ณวัชร พุ่มโพธิ์งาม, และ เงิน-อนุภาษ เหลืองสดใส จาก LOVE SICK THE SERIES มัดใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการสื่อสารการตลาดครบวงจร ทั้งอะโบฟเดอะไลน์ ( Above the Line) , บีโลว์เดอะไลน์ (Below the Line), และโซเชียลมีเดีย (Social Media) ซึ่งได้แก่ เฟซบุ๊กเพจ โออิชิ เรดดี้ มีล (www.facebook.com/OishiReadyMeal) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% หรือราว 160 ล้านบาท
ทั้งนี้ แคมเปญ โออิชิ “ทริปตื่นตัว ทัวร์ตื่นเต้น" มีผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ชนิดแช่เย็น ภายใต้ตราสินค้า โออิชิ ที่เข้าร่วมรายการ ดังนี้ 1) โออิชิ เกี๊ยวซ่า, 2) โออิชิ แซนวิช, และใหม่! 3) โออิชิ เทรนดี้ โรล (เฉพาะซองที่มีรายละเอียดกิจกรรมเท่านั้น) ส่งเอสเอ็มเอส พิมพ์โอไอเอส: OIS ตามด้วยรหัส 8 หลัก (ตัวอย่าง: OIS1234XXXX) มาที่ 4221234 (ครั้งละ 3 บาททุกเครือข่าย) เพื่อลุ้นบิน... ฟินกระจาย! กับทริปในฝัน ที่หลากหลายด้วยแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ หมูบ้านนินจาอิงะ (Iga Ninja Museum), ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle), และ ปราสาทแฮรี่พอตเตอร์ (The Wizarding World of Harry Potter, Universal Studio) เป็นต้น จำนวน 10 รางวัล รางวัลละ 2 ที่นั่ง รวมมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2558 นี้ เท่านั้น
นายไพศาล กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ช่วง 3 เดือนนี้ OISHI มีรายได้จากอาหารพร้อมทานเพิ่มขึ้น 160 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าในปี 63 ยอดขายจากอาหารพร้อมทานจะเพิ่มเป็น 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการส่งออกไม่เกิน 500 ล้านบาท รวมทั้งการออกสินค้าตัวใหม่ต่อเนื่อง เช่น แกงถุง กับข้าวญี่ปุน ข้าวกล่อง
"ปีนี้การทำการตลาดจะรุนแรงมากขึ้น แต่การทำตลาดรุนแรงก็ไม่ได้หมายความว่าจะขายได้ ปีนี้เราจึงต้องทำการตลาดใหม่ๆ แตกต่างจากเดิม ซึ่งแบบเดิมอาจไม่เวิร์คแล้ว เช่น การจับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ออกบัตร"ซีเนียร์ การ์ด"เป็นต้น ต้องเป็นไปตามเทรนด์"นายไพศาล กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสินค้าอาหารพร้อมทานจะเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 50 รายการ(SKU) ในปี 63 จากปัจจุบันมี 20 รายการ รวมทั้งจะขยายตลาดส่งออกด้วย โดยปลายปีนี้จะส่งเกี้ยวซ่า ปูอัดไปขายในพม่า กัมพูชา และเวียดนามจะเป็นประเทศถัดไป
ดังนั้น บริษัทจึงตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาทในปี 63 โดยมีแผนขยายสาขาร้านอาหารเป็น 400 กว่าสาขา จากปัจจุบัน 200 สาขา มีแผนจะขยายสาขาใหม่ 40-50 สาขา/ต่อปี ใช้งบลงทุนปีละ 600-700 ล้านบาท หรืออาจเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท โดยการเปิดสาขาร้านอาหารในต่างประเทศ ก้าวต่อไปมองไปที่ลาวและเขมร หลังจากเปิดสาขาที่พม่า 3 สาขาเมื่อปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปี 63 จะเปิดร้านอาหารในต่างประเทศ 5 ประเทศ หรือราว 10 สาขา เน้นประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV เป็นหลัก โดยมีร้านชาบูชิไปหัวหอกในการเปิดตลาด
"มองลาว เขมร แต่คงไม่เห็นปีนี้ น่าจะเห็นปี 59 อยู่ระหว่างเจรจาว่าจะไปแบบแฟรนไชส์หรือร่วมทุน โดยจะใช้ร้านชาบูชิเป็น flagship ในการขยายตลาดต่างประเทศเป็นหลัก"นายไพศาล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาขยายร้านชาบูชิไปในยุโรป เนื่องจากมีนักธุรกิจจากสวิตเซอร์แลนด์แสดงความสนใจให้บริษัทไปเปิดร้านชาบูชิ ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการรุกตลาดยุโรป หากศึกษาแล้วพบว่ามีศักยภาพที่ดีก็น่าสนใจ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับความนิยมในยุโรป น่าจะช่วยให้"ชาบูชิ"ใช้เป็นประตูเจาะตลาดในยุโรปได้
"เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว มีคนสวิสฯมาติดต่อ เค้าเคยร่วมทุนกับคนไทยในสวิสฯทำธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ข้อดีคือเป็นโอเปอเรเตอร์มากกว่าอินเวสเตอร์ คือเป็นนักทำธุรกิจจริง เบื้องต้นน่าจะเป็นแฟรนไชส์ เพราะถ้าไกลออกไปในยุโรปการทำแฟรนไชส์น่าจะดีที่สุด มากกว่าร่วมทุน แต่ถ้าเป็นประเทศเพื่อนบ้านขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศจะร่วมทุนหรือเป็นแฟรนไชส์ดี"
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารจะอยู่ที่ 45% จากปัจจุบัน 50% เนื่องจากปรับเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มเพิ่มเป็น 55% เพราะบริษัทมีโรงงานผลิตถึง 3 แห่ง กำลังการผลิตยังสูงมาก บวกกับมีแผนจะส่งออกเครื่องดื่มมากขึ้นด้วย