รวมทั้งลูกค้าให้การตอบรับโครงการเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดการขาย 2 โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายติดต่อกันในระยะเวลาที่รวดเร็วภายในวันแรกของการขายพรีเซลล์ทั้งโครงการเดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า โครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมล่าสุดของแสนสิริ ซึ่งนับเป็นมาสเตอร์พีซของถนนพหลโยธิน มูลค่า 1,500 ล้านบาท และโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร – หมอชิต ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(BTS) มูลค่าโครงการเกือบ 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จจากการเปิดการขายโครงการแนวราบ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวระดับบน นาราสิริ บางนา มียอดขายกว่า 75% รวมถึงบ้านเดี่ยวแบรนด์ “เศรษฐสิริ" ที่จ่อคิวปิดการขายถึง 4 โครงการ ได้แก่ เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-จรัญฯ2, เศรษฐสิริ วัชรพล,เศรษฐสิริ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ,และเศรษฐสิริ อ่อนนุช-ศรีนครินทร์ คาดว่าจะปิดการขายได้ในไตรมาส 3/58
รวมถึงความสำเร็จจากการจัดแคมเปญการตลาดต่างๆ ทั้งแคมเปญการตลาดโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศที่หัวหิน The Joy of Huahin และแคมเปญการตลาดโครงการแนวราบ Make It Yours ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรก พุ่งสูงไปถึง 15,000 ล้านบาท
"ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทประสบความสำเร็จจากการตอบรับที่ดีของลูกค้า โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากการทำการตลาดแบบ Global Launch เปิดการขายคอนโดมิเนียมเดอะ ไลน์ พร้อมกันใน 3 ประเทศ ไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์และได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้"นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 12 โครงการ ตามแผนที่วางไว้ โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ และบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทั้งนี้จากความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมาซึ่งได้รับการตอบรับจากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ล่าสุดบริษัทยังได้เตรียมสานต่อความสำเร็จโดยเตรียมเปิดการขายคอนโดมิเนียมใหม่ต่อเนื่องทันที โดยคาดว่าจะเปิดการขายในเร็วๆ นี้
ปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้แล้ว สูงถึงกว่า 38,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ จากการที่ลูกค้าให้การตอบรับโอนที่อยู่อาศัยต่างๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยังส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัททำรายได้ในไตรมาสแรกไปได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายรอรับรู้รายได้ที่มีอยู่ในมือแล้วอีก 24,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท คิดเป็น 85% จากเป้าหมายรายได้รวมที่ตั้งไว้ในปีนี้ 36,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็น presale backlog ที่สามารถ secure เป้ารายได้ที่สูงมาก ดังนั้นจึงยังคงเหลือยอดขายและยอดโอนที่จะต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายอีกเพียง 25%
บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายรายได้ที่วางไว้อย่างแน่นอน ขณะที่การบริหารงานภายใต้แผนงาน “Engineer For Growth" หรือ EFG นั้น นับว่าประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ ทั้งการลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย เพิ่มยอดโอนและเน้นการสร้างกำไรเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ จึงคาดว่าในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 12% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้