โดยการเข้าลงทุนของ UWC ในครั้งนี้ สามารถยกระดับและขยายธุรกิจด้านพลังงานของบริษัทฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญบริษัทฯจะสามารถรับรู้รายได้จากการแปรรูปพืชพลังงานได้ทันทีในปี 2558 และรายได้จะเพิ่มเป็นกว่า 320 ล้านบาทในปี 2559 เป็นต้นไป ส่วนกำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 140 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุน(Project IRR) อยู่ที่กว่า 35% (ในสัดส่วนเงินกู้และเงินทุน 1:1)
“การลงทุนในครั้งนี้ของบริษัทฯ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจด้านพลังงาน ที่สำคัญโปรเจกต์นี้มีความพร้อมอย่างยิ่งทั้งในเรื่องของเชื้อเพลิงที่จะนำมาผลิตไฟฟ้า และมีโรงไฟฟ้าที่พร้อมผลิตไฟฟ้าได้ทันที ที่สำคัญพาราไดซ์กรีนเอ็นเนอยี่เป็นบริษัทที่ทีรายได้อยู่แล้ว ซึ่งเราจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้เลยทันทีในปีนี้" นายพีรทัศน์กล่าว
นายพีรทัศน์ กล่าวอีกว่า UWC จะขยายพื้นที่ปลูกพืชพลังงานเป็น 3,500 ไร่ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1,000 ไร่ เพื่อเพิ่มวัตถุดิบรองรับการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ปัจจุบัน และขยายศักยภาพในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และแปรรูปพืชพลังงานด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย (Mechanical Farming) และมีการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยมาบริหารจัดการ เช่น การใช้ระบบ GPS และใช้อากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก (Drone) ถ่ายภาพสำรวจพื้นที่เพาะปลูกและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง
ทั้งนี้จากการผลิตก๊าซชีวภาพจะสามารถนำไปผลิตแก๊สไบโอมีเทนอัด หรือ CBG (Compressed Bio-Methane Gas) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ในธุรกิจแทนก๊าซ CNG หรือ NGV ได้ ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันที่ใช้กับยานยนต์ และเมื่อมีปริมาณก๊าซCBG เพิ่มขึ้นหลังจากการเพิ่มกำลังการผลิต บริษัทฯจะสามารถสร้างรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย