ทั้งนี้ อินเดียถือเป็นประเทศมีศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในระดับโลก โดยเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบเชิงศักยภาพทั้งด้านการลงทุน-การบริการ และการบริโภค จากจำนวนประชากรที่มีมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากประเทศจีน โดย 1 ใน 3 ของแรงงานของประเทศอยู่ในภาคบริการ พื้นฐานโครงสร้างประชากรมีทักษะด้านภาษาอังกฤษและด้าน Information Technology (I/T) เป็นอย่างดี อินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกหลักบริการด้านซอฟแวร์ โดยเมือง Bangalore เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกเทียบเท่ากับ Silicon Valley ของสหรัฐอเมริกา
นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป และภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกที่มีความน่าสนใจในปีนี้แล้ว เรายังมองเห็นการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอินเดียเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะรัฐบาลชุดใหม่มีนโยบายชัดเจนในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน การปฏิรูปประเทศอย่างเป็นรูปธรรม นำโดยโครงการ MADE in India โครงการเพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นจุดหมายของนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงด้านพัฒนากฏหมาย พัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้อินเดียเป็นจุดมุ่งหมายของผู้ผลิตทั่วโลก การตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและสนับสนุนด้านภาษีให้กับผู้ลงทุน ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจของนักลงทุนทั้งชาวอินเดียและต่างประเทศ
นโยบายและโครงการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนให้เติบโต โดยตลาดหุ้น SENSEX ของอินเดียได้มีปรับขึ้นมาอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา ก่อนปรับฐานในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของปีนี้ โดยค่า P/E ของตลาด SENSEX ในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวที่ 15.73 เล็กน้อยและถือเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่า P/E ปรับตัวลดลง ปัจจุบันระดับดัชนี SENSEX อยู่ที่ 28,017 จุด (2 ก.ค.58) ซึ่งสำนักวิจัยหลายแห่งประมาณการณ์ดัชนี (SENSEX Consensus) Y2015 มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นระหว่าง 10%-20% ด้วยปัจจัยสนับสนุนข้างต้น เราเชื่อว่าตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในช่วงระยะกลางถึงระยะยาวได้
บริษัทจะนำเงินลงทุนของกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลอินเดีย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 3+3 ลงทุนในกองทุนหลัก iSHARES MSCI INDIA INDEX ETF ซึ่งเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) บริหารโดยกลุ่ม BLACKROCK ที่อ้างอิงดัชนี MSCI India ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 6.27% 3 ปีอยู่ที่ 13.60% (ข้อมูล ณ 31 พฤษภาคม 2558) โดยลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศอินเดีย
ส่วนนโยบายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนนั้น บริษัทฯ กำหนดว่าภายในระยะเวลา 12 เดือนแรกจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งที่ 1 เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วย 10.30 บาทต่อหน่วย และหากหน่วยลงทุนมีมูลค่าหน่วย 10.60 บาทต่อหน่วย บริษัทฯ จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด แต่หากภายในระยะเวลา 12 เดือนแรก ไม่เกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขดังกล่าวหรือเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการรับซื้อคืนอัตโนมัติไม่ครบทั้ง 2 ครั้ง บริษัทฯ จะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนได้ในภายหลัง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนอัตราส่วนในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุนซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนในแต่ละช่วงเวลาของการลงทุน