ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าปีนี้กำไรและรายได้เติบโต 30% จากปีก่อน โดยมาจากพอร์ตสินเชื่อที่ปีนี้คาดจะเติบโตราว 30% โดยไตรมาสแรกเติบโตตามเป้าหมายที่บริษัทฯวางไว้ ซึ่งทั้งปีนี้คาดจะรับซื้อหนี้ตามเป่าหมาย 3,000 ล้านบาท หลังจาก 5 เดือนแรกซื้อหนี้ได้แล้ว 1,200 ล้านบาท จากทั้งปีก่อน 1,800 ล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโต และไม่ได้กังวลเรื่องคุณภาพหนี้ เพราะสามารถบริหารจัดการได้
ส่วนสถานการณ์กรีซที่หลายฝ่ายกังวลอยู่ในปัจจุบันไม่มีผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ขนาดใหญ่ ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) พิจารณาลดดอกเบี้ย ยิ่งส่งผลเชิงบวกต่อบริษัท เพราะเมื่อต้นทุนทางดอกเบี้ยลดลง หนุนให้กำไรสูงขึ้น รวมถึงเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์จะตัดสินใจปล่อยวงเงินกู้ยากขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทจะรักษาสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ให้ต่ำกว่า 2% โดยเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับ 9 ปีที่ผ่านมาที่รักษา NPL ต่ำกว่า 2% เพราะบริษัทฯมีการกระจายพอร์ต 70-80% ไปยังภาครัฐฯ โดยรัฐเป็นรายได้ที่มั่นคงแม้จะจ่ายช้าแต่ภาครัฐฯมีความแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีการกระจายพอร์ตไปยังเอกชนและสินเชื่อโดยบริษัทกระจายการจัดพอร์ตลงทุนและชดเชยความเสี่ยง รวมถึงยังมีกลยุทธ์ในการจัดการ ส่งผลให้กระบวนการจัดพอร์ตทั้งภาครัฐเอกชนและลูกหนี้หลายราย หนุนให้ตัวเลข NPL ต่ำลง