นายอภินันท์ รัชฏสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยเยอรมัน โปรดักส์ (TGPRO) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัมยังไม่ทราบสาเหตุที่หุ้น TGPRO ปรับขึ้นมาแรงในการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ แต่บริษัทประเมินว่าอาจมีกลุ่มนักลงทุนเก็งเรื่องการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มของบริษัทที่อยู่ระหว่างการศึกษา
"ผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าหุ้น TGPRO ขึ้นเพราะอะไร ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านักลงทุนจะไปเก็งเรื่องการที่บริษัทจะลงทุนโซลาร์ฟาร์มหรือเปล่า ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่จะทำโซลาร์ฟาร์ม-โซลาร์รูฟ 20 เมกกะวัตต์ เรายังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำนะ"นายอภินันท์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทยังคงศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการดังกล่าวร่วมกับที่ปรึกษา คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/58 จะมีความชัดเจนว่าบริษัทจะลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มหรือไม่ ซึ่งการที่บริษัทสนใจการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังานทดแทน เนื่องจากบริษัทเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่เป็นรายได้ประจำ(recurring income)
"ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับที่ปรึกษาอยู่ ถ้าอย่างเร็วคงตัดสินใจได้ในไตรมาส 4 นี้ว่าจะทำหรือไม่ทำ...น่าสนใจ เพราะรายได้ที่เข้ามาเป็นรายได้ประจำให้กับบริษัท เราจะได้มีรายได้ตรงนี้มาเสริม ที่ผ่านมาก็มีคนมาเสนอขายใบอนุญาต แต่เรายังไม่ซื้อ เพราะเราขอศึกษาก่อนว่าคุ้มหรือไม่ อีกทั้งเงื่อนไขและกฏเกณฑ์ต่างๆมันก็เยอะด้วย"นายอภินันท์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.08 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาส 1/58 มีผลขาดทุน 11.52 ล้านบาท โดยผลงานในปีนี้ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากการที่บริษัทขยายตลาดไปสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายในประเทศ
นายอภินันท์ กล่าวว่า สาเหตุที่ไตรมาสแรกของปีนี้มีผลขาดทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสินค้าเหล็กและสเตนเลสจากจีนเข้ามาทุ่มตลาด แต่ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการร่วมมือกับทางหน่วยงานของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาและใช้มาตรการการตอบโต้การทุ่มตลาด คาดว่าในเร็วๆนี้จะมีผลสำเร็จออกมา ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
"ตอนนี้เราก็รอผล แต่เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถชนะได้ เพราะว่าภาครัฐก็ต้องการช่วยพวกเราที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด คือที่ผ่านมาเราขายแทบไม่ได้เลย เพราะราคาแผ่นเหล็กและสเตนเลสจากจีนราคาต่ำกว่า เราสู้ราคาไม่ไหว ทำให้การนำเข้าเหล็กจากจีนในช่วงที่ผ่านมาเยอะมาก เราก็ไปคุยกับกระทรวงให้ช่วยเหลือและส่งฟ้องไป เพราะหากเป็นแบบนี้เราก็จะอยู่ไม่ได้ เดี่ยวสัปดาห์หน้าก็ไปคุยกับกระทรวงอีก อีกไม่นานก็น่าจะทราบผล และหากฟ้องชนะก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง รวมถึงตัวบริษัทเราเองด้วย"นายอภินันท์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าหากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดจากจีนมีผลสำเร็จในช่วงครึ่งปหลัง ประกอบกับการขยายตลาดใหม่สู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้แนวโน้มผลกการดำเนินงานในครึ่งปีหลังทั้งรายได้และกำไรสุทธิออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 58 เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.45 พันล้านบาท ปัจจัยที่ทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตมาจากสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีก่อนอยู่ที่ 21%