กองทุนรวมหลัก Fidelity-Pacific Equity Fund จะเน้นลงทุนในลักษณะหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) และเน้นให้น้ำหนัก ในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยกลุ่มประเทศที่ทางทีมบริหารของกองทุนรวมหลักให้น้ำหนักมากที่สุด สำหรับข้อมูล ณ 31 พฤษภาคม 2558 ได้แก่ กลุ่มประเทศเอเชียเหนือ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น นอกจากนี้ กองทุนรวมหลัก ยังสร้างผลการดำเนินงานที่ดีจนได้รับรางวัลกองทุนดีเด่น จาก Lipper Standard & Poor’s และ Morningstar ในกลุ่ม Equity Asia Pacific และ Best Asia-Pacific Equity Fund จากประเทศฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากว่า 23 ครั้ง
"หากเรามาดูในเรื่องของระดับราคา ณ ปัจจุบัน ยังมองว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเปรียบเทียบ หุ้นในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกกับหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว พบว่าปัจจุบันหุ้นในกลุ่มนี้มีการซื้อขายกันในระดับ PE และ PB Ratio ที่ต่ำกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วในรอบ 10 ปีผ่านมา"นางชวินดากล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดจำหน่ายอีก 2 กองทุนตราสารหนี้ เพื่อเป็นการทางเลือกและรองรับลูกค้าที่เงินครบกำหนด และมองหาช่องทางการลงทุนที่ต่อเนื่อง โดยเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟ ไอเอฟ เอ็นแฮนซ์ 19 ( KTFFE19 ) อายุ 6 เดือน และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ เอ็นแฮนซ์ 20
(KTFFE20) อายุ 3 เดือน ทั้ง 2 กองทุนเสนอขายในวันที่ 15-21 กรกฎาคม 2558 เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ซึ่งกองทุน KTFFE19 จะลงทุนใน MTN ออกโดย Banco Santander (Brasil) S.A, MTN ออกโดย Turkiye IS Bankasi A.S,MTN ออกโดย Turkiye Vakiflar Bankasi TAO,เงินฝากประจำ PT Bank Rakyat Indonesia (PERSERO) Tbk และเงินฝากประจำ Union National Bank PJSC ผลตอบแทนประมาณ 1.95% ต่อปี
ส่วนกองทุน KTFFE20 จะลงทุนใน MTN ที่ออกโดย BLADEX ,MTN ที่ออกโดย Tuekiye IS Bankasi A.S.,MTN ที่ออกโดย Turkiye Vakiflar Bankasi TAO, เงินฝากประจำ Bank of china (Macau) และเงินฝากประจำ PT Bank Rakyat Indonesia (PERSERO) Tbk ในสัดส่วน 85% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงิน บมจ. กรุงไทย ผลตอบแทนประมาณ 1.70% ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน