ASEFA เดินหน้าเข้าเทรดต้น ส.ค.หลังโรดโชว์ 4 จังหวัดใหญ่เริ่ม 17 ก.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 14, 2015 16:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาซีฟา (ASEFA) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้อนุมัติแบบกสแงดรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 13 ก.ค.58 คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ประมาณต้นเดือน ส.ค.นี้

ขณะนี้บริษัทเตรียมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ต่อนักลงทุนทั่วไป (โรดโชว์) ในพื้นที่ 4 จังหวัดที่มีฐานนักลงทุนจำนวนมาก ประกอบด้วย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกรุงเทพฯ ในช่วงวันที่ 17-24 ก.ค.58 เริ่มจากหาดใหญ่

บริษัทจะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมี บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ASEFA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสวิตซ์บอร์ดไฟฟ้าที่ผลิตตามมาตรฐานสากลภายใต้แบรนด์ Asefa และได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก จาก Schneider Electric Industries และSocomec นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ระบบกระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า อาทิ รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่างภายใต้เครื่องหมายการค้า อลูม่าร์ ซึ่ง ASEFA มุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนโลหะเพิ่มเป็น 8,400 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 4,800 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2559 เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคต รวมทั้งมีแผนจัดตั้งสาขาจำนวน 10 สาขา ในหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการเปิด AEC ซึ่งการขยายสาขาไปยังภูมิภาคจะช่วยเพิ่มช่องทางในการขายและโอกาสทางธุรกิจ ให้ครอบคลุมไปทุกภูมิภาคของประเทศ โดยจะเริ่มตั้งสำนักงานสาขาตั้งแต่กลางปี 2558 และครอบคลุมทุกภาคในปี 2559

สำหรับผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อยงวดไตรมาส 1/58 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 520.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.88% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 441.92 ล้านบาท เติบโต 17.88% แบ่งเป็นรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย 309.42 ล้านบาท รายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ 88.47 ล้านบาท โดยเฉพาะรายได้จากการบริการ 74.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 23.99 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 209.38% นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการรื้อถอนโครงการไฟฟ้าบางปะกง จำนวน 42.34 ล้านบาท

ด้านกำไรสุทธิของบริษัทฯและบริษัทย่อย งวดไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 32.50 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.24%

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,704.19 ล้านบาท โดยในปีที่แล้วบริษัทฯได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง และบริษัทได้ปรับโครงสร้างภายในด้วยการลดสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ ประกอบกับปีนี้บริษัทจะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ได้มีการขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น

ณ สิ้นไตรมาส 1/58 บริษัทฯ มีมูลค่างานคงค้างในมือ 550 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 500 ล้านบาท

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ ASEFA กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนในครั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงเชื่อว่าการเข้ามาระดมทุนในตลาด SET ครั้งนี้จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ ASEFA

ASEFA เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจากเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าในประเทศไทย ยังได้สิทธิในการผลิตและจำหน่ายสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าจาก Schneider มากที่สุดในอาเซียน รวมทั้งยังสามารถผลิตและจัดหาอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า ถือเป็น One Stop Service สำหรับลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในอนาคต จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ธุรกิจพลังงานและศูนย์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก

ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 550 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 400 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 550 ล้านบาท โดยมีกลุ่มอังคณากรกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 55.54 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และลดลงเป็นร้อยละ 40.39 ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ