และตั้งเป้าทำรายได้ที่ 2 หมื่นล้านบาทในแผน 5 ปี (58-62) โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 60% และรายได้จากการเช่าทั้งอาคารสำนักงานให้เช่าและโรงแรม 40% ขณะที่กำไรขั้นต้นมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 30% ส่วนการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ 40-50%
"ในช่วง 3 ปีแรกรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากกิจการที่เข้าซื้อกิจการ แต่ 2 ปีหลังจะมาจากโครงการของบริษัทที่ลงทุนสร้างเอง โดยโครงการสิงห์คอมเพล็กซ์ที่ตั้งอยู่บนถนนอโศก คาดว่าจะก่อสร้างปลายปีนี้และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 58-59"นายนริศ กล่าว
นายนริศ กล่าวว่า ในปี 59 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มีทั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ รอบนอกเมืองอยู่ตามแนวรถไฟฟ้า และหัวเมืองในต่างจังหวัด มูลค่าโครงการๆละ 2.5 -3 พันล้านบาท และมีโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการบนถนนประดิษฐ์มนูญธรรม มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท แต่อาจจะได้พื้นที่เพิ่มจากปัจจุบันที่มี 30 ไร่ ราคาขายราว 50 ล้านบาท/ยูนิต
สำหรับการเข้าซื้อกิจการนั้น คาดว่าในปี 59 จะมีดีลซื้อกิจการหรือร่วมทุนไม่น้อยกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 6-7 ดีล โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะสรุปดีลซื้อกิจการได้ 3 ดีล รวมมูลค่าประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อทำสำเร็จคาดว่าจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯในเร็วๆนี้ โดยเป็นดีที่มีมูลค่าไม่เกิน 4 พันล้านบาทกับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ส่วนอีก 2 ดีลคาดมูลค่าซื้อกิจการราว 6-8 พันล้านบาทต่อดีล เป็นธุรกิจโรงแรมที่อยู่ทางใต้ในแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้เซ็นบันทึกความเข้าใจ MOU แล้ว 1 ดีล ส่วนอีกแห่งอยู่ระหว่างทำ Due diligence ทั้งนี้ กิจการที่เข้าซื้อทั้ง 3 แห่งจะรับรู้รายได้ทันที
และในเดือนก.ย.นี้จะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ย่านอโศก มูลค่าโครงการ 4.5 พันล้านบาท บนพื้นที่ 2.5 ไร่ เป็นโครงการสูง 55 ชั้น จำนวน 420 ยูนิต คาดจะรับรู้รายได้ในปี 61-62
สำหรับในช่วงปี 59-62 บริษัทตั้งงบลงทุนเฉลี่ยปีละ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ใช้ซื้อที่ดิน และงานก่อสร้างโครงการใหม่ ขณะเดียวกันจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ปีละ 4 แห่ง แต่ละแห่งมีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท
นายริศ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทจะต้องระดมทุนเพิ่มมากโครงการใหม่และดีลซื้อกิจการเพิ่มเติม คาดว่าจะเพิ่มทุน จัดตั้งกองทรัสต์ (REIT) รวมทั้งแผนนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ระดับไม่เกิน 1.2 เท่าโดยปัจจุบันอยู่ที่ 0.3 เท่า และคาดสิ้นปีนี้ขยับเป็น 0.7-0.8 เท่า
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายธุรกิจเข้าในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยได้เข้าไปเจรจาบ้างแล้ว ซึ่งมองไปที่ประเทศเมียนมาร์ มาเลเซีย และกัมพูชา แต่จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวก็คาดว่าจะยังไม่เห็นการขยายธุรกิจดังกล่าวในปีหน้า