"กำไรสุทธิไตรมาส 2 จะใกล้เคียงไตรมาสแรก upstream เหนื่อย กำไรลดลงเยอะ ราคาน้ำมันไม่กระเตื้องอย่างคาดทำให้รายได้ไม่สูง และยังมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและเฮดจิ้งด้วย ส่วน downstream ดี ค่าการกลั่นดี ปิโตรเคมีดี"นายวิรัตน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังมองว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของ PTTEP ยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ระดับต่ำ แต่การที่ PTTEP เป็นบริษัทที่มีเงินสดค่อนข้างมากถึง 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็เห็นว่าเป็นโอกาสในการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน(M&A)ที่ยังเน้นในภูมิภาค
ขณะที่ PTT มองทิศทางราคาน้ำมันในช่วงนี้จะยังอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งไม่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยปริมาณน้ำมันดิบยังมีจำนวนมากขณะที่ความต้องการใช้ไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ขณะที่ปัญหาในยุโรปเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ยังต้องจับตาทิศทางของเศรษฐกิจจีนด้วยต่อไป ส่วนกรณีปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับชาติมหาอำนาจได้แล้วนั้น เชื่อว่ากว่าจะมีปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดน่าจะเป็นช่วงปลายปี
นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการขายธุรกิจปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียในช่วงที่ผ่านมานั้น มีผลขาดทุนพอควร แต่กลุ่ม ปตท.ก็จะยังคงเดินหน้าขายธุรกิจออกไปทั้งหมดตามแผน โดยขณะนี้คงเหลือพื้นที่ปลูกปาล์มอีก 1-2 แปลง ซึ่งจะทยอยขายออกไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ด้านนายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย PTT กล่าวว่า ปตท.จะยังไม่ปรับราคาขายปลีกน้ำมันในช่วง 1-2 วันนี้ เพราะค่าการตลาดยังอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม และตลาดกำลังจับตาดูเรื่องกรณีอิหร่านว่าจะกดดันราคาน้ำมันอย่างไร
นายวิรัตน์ เปิดเผยอีกว่า ปตท.มีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาท 4-5 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 3/58 เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดชำระ โดยจะเสนอขายให้กับรายย่อย ส่วนการออกหุ้นกู้เพื่อใช้ลงทุนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากมีเงินสดอยู่ 6-7 หมื่นล้านบาท เพียงพอกับการลงทุนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ปตท.ก็ยังมองโอกาสที่จะออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมต่อไป