บลจ.กสิกรไทยมอง SET ปลายปีนี้ที่ 1,600 จุด เน้นกลุ่มได้ประโยชน์นโยบายรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 22, 2015 12:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 58 อยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 16 เท่า โดยกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มสื่อสาร

ด้านมุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทย คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำหรือปรับลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามทิศทางการเคลื่อนย้ายของเงินลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนในส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น จะเน้นเพิ่มระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม ส่วนกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป จะเน้นจับจังหวะการลงทุน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนคุณภาพ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีขึ้นด้วย

สำหรับแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลัง บริษัทยังเน้นกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่ครอบคลุมการลงทุนไปทั่วโลก (Global Investment) และอาศัยจุดเด่นของความเป็นผู้นำกองทุนรวมต่างประเทศ ที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการกระจายการลงทุนไปยังเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลกนี้ ขณะที่จะขยายศักยภาพการลงทุนเจาะลึกลงไปสู่ระดับภูมิภาค (Regional Player) โดยจะเข้าไปลงทุนโดยตรงในกลุ่มประเทศอาเซียน ต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจแห่งอาเซียนหรือ AEC ในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทย ได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ต้นปี 57 ทั้งในด้านทีมงาน การศึกษาสภาพตลาดหุ้น และการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นรายตัวในกลุ่มประเทศสมาชิกนอกเหนือประเทศไทย โดยขณะนี้ได้ศึกษาคลอบคลุมกว่า 150 หุ้น จาก 4 ประเทศหลักได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม บริษัทจึงมีความพร้อมที่จะเปิดเสนอขายกองทุนหุ้นอาเซียน (ในชื่อกองทุน K-AEC) ได้ในประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมทั้งตั้งเป้าความเป็นผู้นำการลงทุนในอาเซียนนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังจะขยายการลงทุนไปยัง Sector ใหม่ๆ รวมถึงกองทุนประเภท Index Fund ที่จะลงทุนในประเทศหรือในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น รวมถึงยังได้มีการพัฒนาระบบบริการให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการผู้ลงทุนให้เข้าถึงการลงทุนได้อย่างรวดเร็วในทุกช่องทาง ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัวบริการใหม่ DIY Target Fund บนระบบลงทุนออนไลน์ K-Cyber Invest ที่จะเป็นตัวช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆควบคู่ไปกับระบบบริการเหล่านี้ จะช่วยตอบโจทย์และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ได้สามารถตัดสินใจเข้าลงทุนได้อย่างรวดเร็ว ไม่พลาดโอกาสในทุกสถานการณ์ลงทุน

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจและมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง เห็นว่าเศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำโดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามและอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ความผันผวนในตลาดหุ้นจีน ปัญหาหนี้กรีซ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ กลยุทธ์การลงทุนของบลจ.กสิกรไทย จึงเน้นการหาจังหวะปรับแผนการลงทุนให้รองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง และให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดที่ยังมีระดับราคาที่เหมาะสม อาทิ เอเชีย ยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากตลาดกลุ่มนี้มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต เช่น มาตรการ QE ของธนาคารกลางในแต่ละแห่ง การฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท เป็นต้น

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดว่าตลาดน่าจะมีการปรับคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีในปี 58 ลงอีก ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวมถึงบลจ.กสิกรไทยคาดการณ์การเติบโตไว้อยู่ที่ระดับ 2.8% โดยปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้นและความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง จะมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือเหตุการณ์ภัยแล้งแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป รวมถึงความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออก

ด้านนายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปี 58 จะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจจัดการกองทุนด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,117,301 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20.6% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558) รวมถึงยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ทั้งในธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 22.4% และ15.5% ตามลำดับ

ทั้งนี้ประเภทของกองทุนรวมที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ กองทุนต่างประเทศ (FIF) กองทุนตลาดเงิน กองทุน LTF และกองทุน RMF ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 38% , 32%, 25% และ 26% ตามลำดับ โดยกองทุนที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ กองทุนต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 24.6% และกองทุนตลาดเงินที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 31.6%

"ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมในรอบ 6 เดือน บลจ.กสิกรไทย สามารถบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ และมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งกองทุนต่างประเทศ กองทุนหุ้นไทย และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ รวม 27 กองทุน คิดเป็นมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 4,000 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2558 นับว่าเป็นปีที่ภาวะตลาดมีความผันผวนทั่วโลก ดังนั้นกองทุนต่างประเทศของบลจ.กสิกรไทยที่มีการลงทุนในหลากหลายภูมิภาค จึงให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เช่น กองทุน K-JP ให้ผลตอบแทน 19.10% ขณะที่กองทุน K-ASIA ให้ผลตอบแทน 8.04% เป็นต้น ทั้งนี้กองทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ของบลจ.กสิกรไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเมื่อตลาดในแต่ละประเทศได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่แตกต่างกัน การที่บลจ.กสิกรไทยมีหลายกองทุนที่แยกการลงทุนในแต่ละภูมิภาคนี้ ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสเลือกลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการได้และไม่พลาดโอกาสไป"นายวศิน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ