นายแมนพงษ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการงินของ JWD กล่าวว่า เจดับเบิ้ลยูดีฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น หรือราว 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งล่าสุดสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของบริษัทเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ คาดว่าในเดือน ส.ค.นี้จะมีการสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุน (book building) และคาดว่าจะให้ส่วนลดประมาณ 15-20% ในการกำหกนดราคาเสนอขายหุ้น IPO โดยจะสามารถนำหุ้น JWD เข้าจดทะเบียนใน SET ได้ภายในช่วงไตรมาส 3/58 ซึ่งเชื่อว่า JWD จะเป็นบริษัทแรกที่ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจุบัน JWD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วทั้งหมดมีจำนวน 480 ล้านหุ้น
JWD ผู้นำธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรในอาเซียน โดยมีการให้บริการแบ่งเป็น 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าบนพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) 2. ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าในประเทศและขนส่งสินค้าข้ามแดน 3.ธุรกิจให้บริการขนย้ายในประเทศและต่างประเทศ 4.ธุรกิจให้บริการรับฝากบริการจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจร 5.ธุรกิจอื่นๆได้แก่ธุรกิจให้เช่าอาคาร-คลังสินค้าและธุรกิจให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ด้านนายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนขยายกิจการ เช่น ขยายพื้นที่ให้บริการคลังสินค้าเคมีภัณฑ์ในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง, เพิ่มรถหัวลากและรถขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขยายพื้นที่ให้บริการคลังสินค้าทั่วไป สินค้าอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นแช่แข็งในกลุ่มประเทศ CLMV ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท โดยในเบื้องต้นจะใช้เงินลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศดังกล่าวประมาณ 700 ล้านบาท
ผลดำเนินงานในปี 57 บริษัทมีกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 56 ที่มีกำไรสุทธิ 375 ล้านบาท เนื่องจากมีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ 82 ล้านบาท แต่ปีนี้กำไรสุทธิจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้ โดยไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 80 ล้านบาท ขณะที่รายได้ย้อนหลัง 3 ปี เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 17.4% และในปี 57 มีรายได้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้ก็จะเติบโตไม่น้อยกว่าปีก่อนแน่นอน
สำหรับสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 8-10% ขณะที่คาดว่าสัดส่วนรายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50% ของรายได้รวม หลังจากที่มีการขยายคลังสินค้าดังกล่าว
"เรามองว่าเป็นโอกาสในการขยายคลังสินค้าในต่างประเทศ ปัจจุบันเราก็มีการเข้าไปขนส่งสินค้าบ้างแล้ว คิดเป็นรายได้ 8-10% และเราคาดหวังว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอนาคต การลงทุนดังกล่าวจะเป็นลักษณะของการลงทุนร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น โดยเรามีนโยบายเข้าไปถือหุ้นมากกว่า 50%"นายชวนินทร์ กล่าว