อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะไม่มีการเปิดโครงการใหม่ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเอง แต่จะมีโครงการร่วมทุนกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่จะเปิดอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการเดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71, เดอะไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค, เดอะไลน์ เพชรบุรี 18 และโครงการคอนโดมิเนียมอยู่ในทำเล CBD อีก 1 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีมูลค่าโครงการเหลือขายที่เป็นโครงการของบริษัทอยู่ในปัจจุบันราว 6-7 พันล้านบาท
สำหรับรายได้ของบริษัทในปี 58 ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ 3.6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน(Backlog)อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะมีการทยอยโอนอีกราว 2.4 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงปี 61
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ทั้งรายได้และกำไรจะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/58 และไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมาลูกค้าทยอยโอนโครงการอย่างต่อเนื่อง และมีโครงการที่โอนในปีนี้เพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/58 บริษัทมียอดโอนอยู่ที่ 6 พันล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่ารายได้และกำไรจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะโครงการที่จะทยอยโอนในครึ่งปีหลังมีมากกว่าครึ่งปีแรก
นายอภิชาติ กล่าวว่า ยอดขาย Pre-Sale ของโครงการร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยทำยอดขายได้แล้วกว่า 6 พันล้านบาทในครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นยอดขายที่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ จตุจักร มูลค่าโครงการ 5.7 พันล้านบาท ที่ทำยอดขายได้ 100%
กลยุทธ์การขายโครงการของบริษัทร่วมทุนวในโครงการต่อไปที่จะเปิดขาย คือ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 และโครงการอื่นๆที่จะเปิดใหม่ จะมีการเพิ่มสัดส่วนการขายให้กับนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมที่ 20% เนื่องจากหลังจากบริษัทนำโครงการไปโรดโชว์ในต่างประเทศ อย่างเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวั่น ได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งยอดจองของนักลงทุนต่างชาติในโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 มียอดจองเต็ม 100% ของสัดส่วนที่เปิดขายให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ 40% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด
นายอภิชาติ กล่าวว่ การที่บริษัทมีการเพิ่มสัดส่วนการขายให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ที่ส่งผลให้ยอดขาย Pre-sale อาจจะมีการชะลอตัวลงไปบ้าง เนื่องจากประชาชนยังไม่มีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้น ซึ่งภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจะสอดคล้องไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งหากปีนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3% อสังหาริมทรัพย์ไทยน่าจะขยายตัวในอัตราเดียวกัน
อีกทั้งปัจจุบันการซื้อโครงการต่างๆของลูกค้าโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ลูกค้าจะให้ความสำคัญกับทำเลมากขึ้น ทำให้บางทำเลที่ไม่ได้รับความนิยมมียอดขายลดลงไปมาก ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 5-8% จากสิ้นปีก่อนที่ 10-12% เนื่องจากลูกค้าของบริษัทเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ