นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ลงตามสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวและไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน หลังจากประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 3%
ขณะเดียวกันได้มีการปรับลดคาดการณ์มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันในปีนี้เหลือ 4 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 4.5 หมื่นล้านบาท และต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ในช่วงต้นปีที่ 5 หมื่นล้านบาท
ดัชนีตลาดหุ้นไทยกรอบบน ประเมินไว้ที่ไม่เกิน 1,600 จุด ส่วนกรอบล่างมั่นใจว่าจะไม่หลุด 1,400 จุด โดยจะต้องจับตาดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/58 ซึ่งหากออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้อีก ก็อาจจะมีการปรับลดประมาณการณ์ต่างๆ ลงได้อีก นอกจากนี้ ยังมองว่าสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันถือว่าเหมาะสมกับระดับดัชนีที่เคลื่อนไหวราว 1,450-1,500 จุด จากปัจจัยลบหรือมีตัวเลขทางเศรษฐกิจในเชิงลบก็จะมีความอ่อนไหวสอดคล้องกันไป
ส่วนกรณีที่มีผู้วิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะลงไปถึง 1,200 จุดนั้น นางภัทธีรา มองว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้มีปัจจัยลบที่จะมากระทบมากขนาดนั้น
"ช่วงนี้หุ้นไทยยังคงซึมลงอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นหายทั้งในภาคเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ก็ปัจจัยลบค่อนข้างมากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนปัจจัยบวกใหม่ๆก็ยังไม่เห็นมี มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นสภาพนี้ไปอีกระยะ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นความผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น เพราะโดยพื้นฐานยังถือว่าแข็งแรงพอสมควร สามารถลงทุนระยะยาวได้"นางภัทธีรา กล่าว
สำหรับข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีและการที่นายกรัฐมนตรีออกมายอมรับว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะต้องเลื่อนประมูลไปเป็นปีหน้านั้น คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะนักลงทุนรับข่าวไปพอสมควรแล้ว
"นักลงทุนอยู่ในสภาพของการรอคอยอยู่แล้วและยังไม่มีโปรเจ็คต์ใดเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในเชิงปฏิบัติ การที่ยืดไปอีกก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก เหมือนกับทำใจไว้แล้ว ส่วนการปรับ ครม.ก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรอย่างมีนัยเช่นกัน เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า เพราะใครจะเข้ามาแทนใครก็ต้องอยู่บนความหวังของการเร่งเบิกจ่ายและเดินหน้าลงทุนแผนต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริง อันนี้น่าสนใจกว่าและถือว่าจำเป็นมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชน"นางภัทธีรา กล่าว
สำหรับนักลงทุนระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) แนะนำทยอยเข้าซื้อสะสมหุ้นกลุ่มหลักพื้นฐานดีที่ราคาปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นให้หาจังหวะเข้าเล่นรอบอย่างระมัดระวัง