อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/58 ของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ และอาจส่งผลกระทบถึงไตรมาส 3/58 และไตรมาส 4/58 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา การส่งออกติดลบ การเติบโตของสินเชื่อช้าลง แต่ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่จะไหลกลับไปซื้อสินทรัพย์ที่เป็นสกุลดอลลาร์ หลังค่าเงินดอลาร์มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้น และส่งผลให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันปรับตัวลดลงด้วย
"ตลาดหุ้นไทยที่ลดลงมาไม่น่าห่วงมากนัก เป็นสิ่งที่คาดไว้แล้ว ก็แนะให้กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ แต่หากใครจะลงทุนหุ้นไทยก็ต้องเลือกจังหวะและโอกาสเข้าลงทุนควรเลือกรายตัวไม่ต้องอิงดัชนี"นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น นายก้องเกียรติ มองว่า คนไทยเป็นคนชอบให้โอกาส และเชื่อว่าการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่จะต้องดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังต้องมีการแก้ปัญหาที่สะสมมานานที่จำเป็นต้องใช้เวลาช่วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่แนวทางการทำงานมากกว่าตัวคณะรัฐมนตรี และยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยของปีนี้คงจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3%
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) คาดว่า SET Index สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,800 จุด โดยมองว่าไม่น่ามีความกังวลต่อภาวะตลาดหุ้นในระยะยาว และยังมีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิด ขณะที่คาดว่าตลาดหุ้นช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีทิศทางดีขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งนี้ แนะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
ด้านนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวงคาดว่า SET Index สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,500 จุด โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ เนื่องจากตลาดตอบรับข่าวต่างๆ ไปพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยที่กดดันอยู่ คือ สถานการณ์ภัยแล้งที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ และการส่งออกยังติดลบ
ส่วนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หลังมีนักวิเคราะห์ฯปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 2.5-2.8% คาดว่าจะส่งผลให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น จากระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ที่เพิ่มขึ้น สุดท้ายแล้วคงจะต้องจับตาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/58 ที่จะสิ้นสุดลง 15 ส.ค.58 ว่าบริษัทใดจะสามารถทำผลประกอบการออกมาได้ดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ขณะนี้จะเห็นว่ามีการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันเข้ามามากเพื่อลงทุนระยะยาว โดยมองว่ายังมีโอกาสเข้ามาซื้อได้อีก เพราะเป็นจังหวะในการลงทุนหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งมาอยุ่ที่ 1.50% ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประเมินว่าหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว ที่จะเข้าช่วงไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 อีกทั้งกลุ่มโรงพยาบาล ที่ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มองว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และสุดท้าย คือ หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ