นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน PIMO เปิดเผยว่า การตั้งราคาที่ IPO ที่ 1.30 บาท ถือว่าเป็นราคาที่มีความเหมาะสม เนื่องจากปีนี้แนวโน้มรายได้ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
ในขณะเดียวกัน เดือน ส.ค.นี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตมอเตอร์เพิ่มเป็น 7.6 หมื่นลูก/เดือน หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปัจจุบันกำลังผลิตอยู่ที่ 6 หมื่นลูก/เดือน และกำลังการผลิตเต็มกำลังจะอยู่ที่ 8 หมื่นลูก/เดือน ซึ่งเป็นการขยายเพื่อรองรับออร์เดอร์ใหม่จากลูกค้าญี่ปุ่นที่สั่งซื้อมอเตอร์เพิ่มเข้ามาอีก 2 รุ่น คิดเป็นมูลค่าราวปีละ 100 ล้านบาท
พร้อมกันนี้บริษัทฯยังอยู่ในขั้นตอนยื่นขอมาตรฐาน UL ของสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะได้รับมาตรฐานดังกล่าวในช่วงปลายไตรมาส 1/59 ถึงต้นไตรมาส 2/59 จากนั้นก็จะสามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯสหภาพยุโรป และซาอุดิอาระเบียได้ทันที ซึ่งเบื้องต้นกำลังการผลิตใหม่ที่ 8 หมื่นลูก /เดือนเพียงพอรองรับการขยายตลาดได้ แต่หากในอนาคตได้ออร์เดอร์เข้ามามากขึ้นก็อาจจะต้องขยายกำลังผลิตเพิ่มเติมอีก
นายสมภพ คาดว่าจะได้เงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ราว 150 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในการชำระหนี้ที่ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้กับสถาบันการเงินกว่า 200 ล้านบาท จะส่งผลให้ระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 0.6 เท่า จากปัจจุบันที่ 2.01 เท่า
ด้านนายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บล. โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น PIMO กล่าวว่า จากการที่ได้เดินสายแสดงข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) ในต่างจังหวัดทั่วประเทศถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประกอบกับบริษัทที่เป็นขนาดเล็กและขนาดกลางที่ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ก่อนหน้านี้ 2-3 บริษัท นักลงทุนก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ถึงแม้ภาวะตลาดจะมีความผันผวน จึงมีความมั่นใจว่า PIMO จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีเช่นกัน