ทั้งนี้ ผลประกอบการ AAV งวดไตรมาส 2/58 คาดว่าจะพลิกเป็นกำไรเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน(Q2/57)ที่มีผลขาดทุนกว่า 170 ล้านบาท เนื่องจากช่วงกลางปีที่แล้วมีสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และ AAV ก็ได้ทำโปรโมชั่นค่อนข้างมาก แต่ปีนี้ก็ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวและราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งการเมืองสงบ
สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น ในแง่ผลบวกมีข้อดีที่เป็นแรงจูงใจให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ถ้าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลของนักท่องเที่ยว ส่วนผลลบมาจากภาระหนี้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศที่อาจจะเกิดผลขาดทุน เนื่องจาก AAV มีสัญญาการเช่าซื้อเครื่องบิน(Financial Lease)เป็นเงินสกุลต่างประเทศ
ส่วนปัญหา ICAO ที่เป็นเรื่องข้อกำหนดของสายการบิน คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคทีบี(ประเทศไทย) ซื้อ 6.60 บล.บัวหลวง ซื้อ 6.50 บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ซื้อ 6.36 บล.ฟิลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 6.30 บล.คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 6.00
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า AAV ปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่เติบโตก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิถึง 2,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่มีกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท และในปี 59 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2,570 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรปีนี้เติบโตได้ดีจากที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีการประหยัดในแง่ต้นทุนเชื้อเพลิงถึง 30% yoy ส่งผลให้มาร์จินดีขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้โดยสารเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเฉพาะในเดือนเม.ย.-พ.ค.แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3/58 ก็เข้าสู่ช่วง Low season ตามปกติ
สำหรับผลประกอบการของ AAV งวดไตรมาส 2/58 คาดว่าจะพลิกเป็นกำไรเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนกว่า 170 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วในช่วงกลางปีมีเรื่องของการเมือง และ AAV ก็ได้ทำโปรโมชั่นมากซึ่งเป็นตัว discount กำไร
ส่วนปัญหามาตรฐานการบินของไทยที่ยังไม่ได้ตามข้อกำหนดองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO) บริษัทคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีเที่ยวบินในเส้นทางสหรัฐฯ ส่วนในเอเชีย AAV ก็ไม่ได้มีการเพิ่มเที่ยวบิน ดังนั้น ถือได้ว่า AAV ไม่ได้รับผลกระทบ
ด้านนายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนายการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวม AAV ในปีนี้ถือว่ามีกำไรเติบโตก้าวกระโดดจากปีที่แล้ว โดยปีนี้คาดการณ์กำไรสุทธิของ AAV ที่ 1,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท เพราะเพียงไตรมาส 1/58 ก็สามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 500 ล้านบาท และไตรมาส 2/58 ก็มีโอกาสที่พลิกเป็นกำไรเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน
ทั้งนี้ เหตุสำคัญมาจากธุรกิจการท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัวขึ้นมากหลังจากที่การเมืองสงบลงไป และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก็ปรับตัวลง ทำให้เป็นบวกต่อต้นทุนการทำธุรกิจ
สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น มีทั้งผลบวกและลบ ในแง่บวกมีข้อดีที่เป็นแรงจูงใจให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสูงขึ้น หากเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าเงินสกุลของนักท่องเที่ยว ส่วนผลลบมาจากภาระหนี้ที่เป็นเงินสกุลต่างประเทศที่อาจเกิดผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในไตรมาส 2/58 นี้คาดว่า AAV จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ(FX)ประมาณ 90 ล้านบาท
ขณะที่นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น AAV เนื่องจากมองว่าผลประกอบการในปีนี้จะฟื้นตัวตามอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามามากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวและอาจส่งผลต่อการท่องเที่ยวของคนจีนบ้าง แต่ปัจจุบันการท่องเที่ยวไทยก็ยังเติบโตได้ดี โดย 5 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเกือบ 100% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ คาดว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/58 ของ AAV จะสามารถพลิกเป็นกำไรได้ราว 200-300 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 176 ล้านบาท ส่วนทั้งปี 58 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท
นอกจากจะรับผลจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแล้ว AAV ยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปีนี้ยังต่ำกว่าปีก่อนมาก ทำให้มาร์จินของ AAV สูงขึ้น ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าลงก็อาจจะส่งผลลบต่อ AAV บ้างในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ(FX)ที่อาจมีผลขาดทุนบ้างจากสัญญาการเช่าซื้อเครื่องบิน(Financial Lease)ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ