ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม KGI ที่ “BBB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 23, 2015 16:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)(KGI) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะเงินทุนที่เข้มแข็ง ตลอดจนความแข็งแกร่งของฐานรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย และความสามารถของบริษัทในการนำประสบการณ์และความรู้ของกลุ่มเคจีไอในไต้หวันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์เมื่อปี 2555 ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทางการตลาดจากธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทก็มีผลกระทบต่อความเสี่ยงของบริษัทด้วยเช่นกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บลจ. วรรณ ได้ต่อไปแม้สภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถที่จะปรับขึ้นได้หากบริษัทสามารถแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถที่จะปรับลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดต่ำลง

KGI มีแหล่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและไม่กระจุกตัวอยู่ที่เฉพาะรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มากนัก ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์มีสัดส่วนต่ำกว่า 50% ของรายได้รวมของบริษัทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่สูงกว่า 70% การขยายฐานรายได้ในส่วนที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ช่วยให้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20%-30% ของรายได้รวม

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมาจากธุรกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99% ด้วย รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2557 ถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรายได้จากแหล่งอื่น ๆ ของธุรกิจหลักทรัพย์

บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของกลุ่มเคจีไอ ไต้หวันซึ่งอยู่ในตลาดการเงินที่มีการพัฒนามากกว่ามาใช้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทสามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องให้ล้ำหน้าคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด

ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2558 อยู่ที่ระดับ 3.99% โดยอยู่ในลำดับที่ 8 ซึ่งใกล้เคียงกับส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัททั้งปีในปี 2556 และต่ำกว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในปี 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.28% (ลำดับที่ 7) บริษัทมีฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ในสัดส่วนที่สูงซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราค่านายหน้าค่อนข้างต่ำ ทำให้อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงจากระดับ 0.15% ในปี 2554-2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.11% ในปี 2557

ทั้งนี้ มูลค่าซื้อขายจากลูกค้ารายใหญ่ 20 รายแรกอยู่ที่ระดับ 33% ในปี 2557 ลดลงจากระดับ 40% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดของบริษัทในปี 2556 (ไม่รวมการซื้อขายในบัญชีของบริษัท) บริษัทลดการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ลงซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูงในเรื่องอัตราค่าคอมมิชชั่นซึ่งจะมีผลทำให้รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงด้วย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแข่งขันน้อยลงกว่าในอดีต

การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดในระดับหนึ่ง บริษัทมีเงินลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุนซึ่งจัดว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี กำไรจากการลงทุนส่วนใหญ่เกิดจากการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด การมีกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านี้จะมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดไม่สูงนัก สำหรับความเสี่ยงด้านเครดิตนั้น บริษัทมีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อันนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในที่ระดับ 1,800 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 คิดเป็น 3% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรมและคิดเป็นประมาณ 34% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท

บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 762 ล้านบาทในปี 2557 เทียบกับ 784 ล้านบาทในปี 2556 ผลกำไรสุทธิที่ลดลงดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2557 ระดับความเสี่ยงทางการเงินซึ่งดูจากอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 เท่า เปรียบเทียบกับ 1.3 เท่า ณ สิ้นปี 2556 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 116% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ หรือเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้ที่ระดับ 7%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ